แอสเสทเวิรด์ฯเผยปัจจัยการสู้รบภายนอกประเทศไม่กระทบยอดจองพักโรงแรมในเครือ ทั้งจ่ายค่าห้องพักสูงกว่าเดิม 15-49% เติบโตสูงสุดนับจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แนะรัฐบาลเพิ่มความแกร่งสายการบิน-ปรับระบบบริหารจัดการเป็นระบบออนไลน์ เพิ่มความสะดวกนักท่องเที่ยว เปิดแผนปี 67 เตรียมลงทุนเปิดโรงแรมใหม่อีกกว่า 1,000 ห้อง ใน 4 ทำเล ล่าสุดผนึกททท.-พันธมิตรแบรนด์โรงแรมที่บริหารทั้ง 22 แห่งของ AWC ทั่วประเทศ ริเริ่มโครงการ “AWC Stay to Sustain” สร้างการท่องเที่ยวในประเทศอย่างยั่งยืน ระบุทุกการเข้าพัก 1 คืนโรงแรมเครือ AWC ร่วมดูแลต้นไม้ 1 ต้น ช่วยสนับสนุนโครงการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ-รักษาผืนป่าระยะยาว เบื้องต้นใช้ระยะเวลา 9 ปี  ด้วยงบสนับสนุนปีละกว่า 15-20 ล้านบาท
นางวัลลภา ไตรโสรัส
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท แอสเสทเวิรด์ คอร์ป จำกัด(มหาชน)หรือAWC เปิดเผยถึงแนวโน้มภาพรวมตลาดโรงแรมในไตรมาส 4/2566 ว่า แม้ว่าจะมีเหตุการณ์การสู้รบของรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-ปาเลสไตล์ หรือเหตุการณ์ที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน นั้น ไม่ส่งผลกระทบหรือการเปลี่ยนแปลงต่อยอดจองการเข้าพักโรงแรมในเครือแต่อย่างใด แต่อาจจะมียกเลิกการเข้าพักโรงแรมย่านสาทรบ้างเล็กน้อย ซึ่งเป็นเพียงกรุ๊ปเล็กเท่านั้น ทั้งนี้เป็นเพราะที่ผ่านมาบริษัทฯขยายเครือข่ายลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวไปหลายประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพเข้าพักโรงแรมในเครือเป็นจำนวนมาก โดยกลุ่มหลักเป็นชาวอเมริกัน ในสัดส่วน 14-15% ,จีน 11% และที่เหลือเป็นชาติอื่นๆ ทั้งนี้สิ่งที่เห็นชัดเจนหลังวิกฤติโควิด-19 คือนักท่องเที่ยวจ่ายค่าห้องที่สูงขึ้น 15-49% ทำให้มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ที่สูงเมื่อเทียบกับก่อนปี 2562  และมีอัตราการเข้าพัก(OCC) ที่ยาวขึ้น ซึ่งถือเป็นการเติบโตสูงที่สุดนับตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมา 4 ปี

ส่วนการที่รัฐบาลประกาศศฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน นั้นยังไม่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด เพราะการจองสายการบินต้องใช้เวลาเป็นปี ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลผลักดันการเพิ่มเที่ยวบินให้มากขึ้น เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของสายการบิน เช่น การจัดการระบบออนไลน์ที่เพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยวมากขึ้น เพราะแม้จะมีฟรีวีซ่า แต่ขั้นตอนการดำเนินการเข้าเมือง ยังต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมปี 2566 รายได้รวมจะได้เติบโตได้เกินเป้าหมายที่วางไว้ไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งจะมาทั้งจากธุรกิจโรงแรมที่โดดเด่นตามด้วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า และ ธุรกิจอาคารสำนักงาน

สำหรับแผนการดำเนินการในปี 2567 เตรียมลงทุนเปิดโรงแรมใหม่อีกกว่า 1,000 ห้อง ใน 4 ทำเล โดยเป็นที่สุขุมวิท 1 แห่ง พัทยา 2 แห่งและหัวหิน 1 แห่ง มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโรงแรมที่ซื้อและนำมารีโนเวทใหม่
นางวัลลภา กล่าวต่อไปว่า เพื่อเป็นการสืบสานนโยบายการท่องเที่ยวยั่งยืนของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ล่าสุดบริษัทฯได้ร่วมกับพันธมิตรแบรนด์โรงแรมที่บริหารโรงแรมทั้ง 22 แห่งของ AWC ทั่วประเทศ รวมห้องพักให้บริการทั้งหมด 2 ล้านคืน/ปี (Room Night) ซึ่งมีวิสัยทัศน์ร่วมกันที่จะอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดปัญหาภาวะโลกร้อน และร่วมสร้างการท่องเที่ยวยั่งยืนให้ประเทศไทย โดยมุ่งสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวยั่งยืนให้กับลูกค้าผู้เข้าพักในโรงแรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวคุณภาพสำหรับนักเดินทางที่มองหาทางเลือกการท่องเที่ยวที่ลดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม และช่วยเหลือชุมชนในพื้นที่ที่เข้าไปท่องเที่ยว ริเริ่มโครงการAWC Stay to Sustain” ในวันที่ 10 ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นวันครบรอบการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  4 ปี ของAWC  โดยเปิดโอกาสให้ลูกค้าผู้เข้าพักโรงแรมในเครือได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชนในประเทศไทย โดยทุกการเข้าพัก 1 คืนภายในโรงแรมเครือ AWC จะร่วมดูแลต้นไม้ 1 ต้น อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชน เพื่อสนับสนุนโครงการของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และรักษาผืนป่าในระยะยาว พร้อมส่งเสริมรายได้ให้ชุมชนที่จะเป็นผู้ดูแลป่า สอดคล้องกับแนวทางของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในการส่งเสริมการท่องเที่ยวยั่งยืนที่ครอบคลุมมิติของสิ่งแวดล้อมชุมชน และสังคมองค์รวม ซึ่งโครงการจะมีระยะเวลาเบื้องต้น 9 ปี มีการสนับสนุนให้กับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯปีละกว่า 15-20 ล้านบาท เชื่อว่าโครงการนี้จะสร้างคุณค่าองค์รวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“AWC Stay to Sustain” เป็นหนึ่งในโครงการตามกรอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของ AWC (3BETTERs) ผ่านความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เพื่อร่วมฟื้นฟูดูแลผืนป่าในระยะยาว โดย AWC ตั้งเป้าสนับสนุนการอนุรักษ์และฟื้นฟูต้นไม้ในแต่ละปีประมาณ 500,000 ต้น รวมกว่า 5,000 ไร่ สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 2,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี หรือเท่ากับการเข้าพัก 1 คืน ร่วมดูแลต้นไม้ 1 ต้น กลับคืนสู่สังคมเท่ากับ 10 บาท จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 5 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี สอดรับกับเป้าหมายระยะยาวของ AWC ในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573” นางวัลลภา กล่าว

นอกจากนี้ AWC จะร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ สนับสนุนการสร้างรายได้ชุมชนด้วยการสรรหาผลิตภัณฑ์งานฝีมือจากชุมชนทั่วประเทศมาตกแต่งในโรงแรมแบรนด์พันธมิตรชั้นนำระดับโลกเครือ AWC รวมถึงการนำผลผลิตทางการเกษตรคุณภาพจากชุมชนมาปรุงอาหารและเสิร์ฟให้นักท่องเที่ยวที่เข้าพักในโรงแรมได้ลิ้มรส เปิดโอกาสให้คนไทยได้มีโอกาสแสดงผลงานสู่สายตาของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ควบคู่การสนับสนุนความยั่งยืนเพื่อสังคมที่มั่นคงรุ่งเรืองด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียม

อีกทั้ง AWC ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลก สร้างสรรค์กิจกรรมภายใต้แนวคิด ‘AWC Be Better’ เพื่อมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวยั่งยืนให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความยั่งยืนแก่โลกใบนี้ร่วมกัน อาทิ

1.BETTER PLANET โรงแรม บันยันทรี สมุย และโรงแรม บันยันทรี กระบี่ จัดโครงการชวนนักท่องเที่ยวเก็บขยะริมชายหาด สามารถเก็บขยะได้ปริมาณกว่า 7 ตัน และโรงแรมในเครือ AWC 9 โรงแรมได้ร่วมโครงการส่งต่ออาหารส่วนเกินคุณภาพดีให้แก่ชุมชน จำนวน 186,880 มื้อ ช่วยลดปริมาณขยะจากการดำเนินงานสู่บ่อฝังกลบ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 112ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เพื่อปกป้องระบบนิเวศทางธรรมชาติ (Safeguarding Natural System)

2.BETTER PEOPLE โรงแรม มีเลีย เชียงใหม่ จัดโปรแกรมครัว 360 องศา เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เลือกรับประทานอาหารที่ใช้ผลผลิตจากฟาร์มออร์แกนิคของโรงแรมมาปรุงอาหาร และเยี่ยมชมฟาร์มเพื่อเรียนรู้วิธีการเกษตรแบบยั่งยืนและสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่น โดยเศษอาหารที่เหลือจากการรับประทานอาหารยังถูกส่งกลับไปที่ฟาร์มเพื่อทำเป็นปุ๋ยหมัก ช่วยลดปริมาณขยะของโรงแรมและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและโครงการวิสาหกิจเพื่อสังคม “เดอะGALLERY” ศูนย์กลางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากชุมชนท้องถิ่นภายในเครือโรงแรมของ AWC รวมถึง

3.BETTER PROSPERITY ที่ร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์โรงแรมสร้างสรรค์กิจกรรมวัดผลความยั่งยืนที่ช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม พร้อมส่งเสริมการบริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืน (Sustainable Consumption and Production) ตลอดจนพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่ทุกภาคส่วนจะได้รับประโยชน์และคุณค่าร่วมกัน (Sustainable and Resilience Supply Chain)ทั้งนี้ AWC เชื่อมั่นว่าการรวมพลังความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและชุมชน จะช่วยสร้างพลังขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก พร้อม “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า” ให้กับทุกภาคส่วนไปพร้อมกัน

​“AWC ยังตั้งเป้าให้ทุกโรงแรมและศูนย์การค้าในเครือได้รับประกาศนียบัตร โครงการ STAR ‘ดาวแห่งความยั่งยืน’ ของ ‘การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย’ ตามเป้าหมายSTGs (Sustainable Tourism Goals) ของ ททท.สะท้อนความมุ่งมั่นของ AWC ที่ดำเนินงานตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติของธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคมสิ่งแวดล้อม และการมีธรรมาภิบาลที่ดีของสถานประกอบการ ควบคู่การสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนในระยะยาวให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่คุณค่า และร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก”นางวัลลภา กล่าว

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท. รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ AWC ซึ่งมีพอร์ตโรงแรมที่หลากหลายทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองหลักทั่วประเทศที่ได้ริเริ่มโครงการเพื่อความยั่งยืนให้เป็นต้นแบบกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ผ่านโครงการ “AWC Stayto Sustain” รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ที่มอบประสบการณ์สุดพิเศษให้นักท่องเที่ยวที่นอกจากจะได้รับความประทับใจจากการท่องเที่ยวประเทศไทยแล้ว ยังได้ร่วมสร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและสังคมให้ประเทศไทยอีกด้วย โดย ททท. สนับสนุนผู้ประกอบการให้ก้าวสู่การท่องเที่ยวที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ตามแผนพัฒนา BCG Model และยังสนับสนุนให้ผู้ประกอบการกำหนดมาตรวัดผลลัพธ์การดำเนินการที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐานระดับสากล ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของ ททท. ที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยสู่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนระดับโลก เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของภาคท่องเที่ยวไทย และดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวยั่งยืนจากทั่วโลกที่มีเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน

ด้านหม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้สืบสานพระราชปณิธาน “ปลูกป่า ปลูกคน” มาเป็นเวลาเกือบสี่ทศวรรษ  มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ผนึกกำลังกับ AWC ร่วมสืบสานเจตนารมณ์การฟื้นฟูระบบนิเวศและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ จึงนำประสบการณ์มาขยายผลเพื่อร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชนในป่า พร้อมร่วมแก้ปัญหาสภาพแวดล้อมของไทยและโลกไปในคราวเดียวกัน ซึ่งการสร้างผืนป่าและอนุรักษ์ป่าไม้เป็นปัจจัยสำคัญในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในระดับองค์กร และในระดับประเทศ รวมถึงการลดภาวะโลกร้อนและลดอัตราการเกิดไฟป่า โดยทางมูลนิธิฯจะนำรายได้สนับสนุนจากโครงการ “AWC Stay to Sustain” ไปใช้ในการพัฒนาระบบประเมินคาร์บอนเครดิต และจัดตั้งกองทุนเพื่อชุมชนสองประเภท คือ กองทุนดูแลป่า และกองทุนเพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชน ในขณะเดียวกันปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*