ธอส.ขานรับนโยบายรัฐผนึกกรมธนารักษ์ -การเคหะฯ ปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยไม่เกิน3%ต่อปี พัฒนาบ้านระดับราคา 2.5-3แสนบาทต่อยูนิต เช่าระยะยาว 30 ปี ขณะที่ CEOควอลิตี้เฮ้าส์ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” แนะรัฐเอาที่ดินแปลงใหญ่ธนารักษ์มาพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อย

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราห์ (ธอส.)เปิดเผยว่าธอส.พร้อมปล่อยสินเชื่อให้แก่โครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยตามแนวคิดของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่จะออกมาในเร็วๆนี้ สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อย เบื้องต้นจะเป็นความร่วมมือของหน่วยงานรัฐได้แก่ กรมธนารักษ์ การเคหะแห่งชาติ(กคช.)และธอส.โดยกรมธนารักษ์จะเป็นผู้เลือกที่ดินแปลงที่มีศักยภาพที่มีอยู่ทั่วประเทศ ให้การเคหะแห่งชาติจะเป็นผู้พัฒนาบ้าน ระดับราคา250,000-300,000 บาท/หลัง เนื่องจากเป็นที่ดินเช่าระยะยาว 30 ปี โดยธอส.จะเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านในอัตราพิเศษ ตามต้นทุนการเงินจริงของธอส.ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยปกติของ ธอส.เฉลี่ย 3 ปีที่ 3.43% ต่อปี

“ธอส.พร้อมปล่อยสินเชื่อตามนโยบายของรัฐบาล โดยขณะนี้รอทางกรมธนารักษ์ร่วมกับการเคหะฯออกแบบบ้านให้แล้วเสร็จ ส่วนจะเป็นบ้านประเภทใดนั้นยังไม่ทราบ” นายฉัตรชัยกล่าว

โครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อย เบื้องต้นจะเป็นความร่วมมือของหน่วยงานรัฐได้แก่ กรมธนารักษ์ การเคหะแห่งชาติ(กคช.)และธอส.โดยกรมธนารักษ์จะเป็นผู้เลือกที่ดินแปลงที่มีศักยภาพที่มีอยู่ทั่วประเทศ ให้การเคหะแห่งชาติจะเป็นผู้พัฒนาบ้าน ระดับราคา250,000-300,000 บาทต่อยูนิต เนื่องจากเป็นที่ดินเช่าระยะยาว 30 ปี

ขณะที่ รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือQH กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง TREA TALKS:Real Eeal Estate 2017 “เหลียวอดีต มองอนาคต”จัดโดยสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ว่า จากปัจจัยแวดล้อมต่างๆที่เปลี่ยนไปจะมีผลต่อการพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยก่อนปี2557 ที่อยู่อาศัยระดับกลาง-ล่างประมาณ 5 แสนบาทถึง 2 ล้านบาทนั้นตลาดผู้บริโภคสามารถซื้อได้ แต่ด้วยปัญหาเศรษฐกิจ หนีภาคครัวเรือน ประกอบกับผู้ประกอบการอสังหาฯได้ขยายฐานตลาดสู่ระดับบนมากขึ้นและที่อยู่อาศัยที่มีดีมานด์อยู่ระดับ 2-10 ล้านบาททำให้คนกลุ่มผู้บริโภคระดับล่างที่มีรายได้น้อยนี้มีปัญหาไม่สามารถซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยได้

ดังนั้นรัฐบาลควรนำที่ดินแปลงใหญ่ของกรมธนารักษ์ที่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้ามาพัฒนาบ้านเพื่อผู้มีรายได้น้อย โดยหนึ่งในแปลงที่มีศักยภาพคือ ย่านเทพารักษ์ จำนวน 1,400 ไร่ ใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีเขียว(แบริ่ง-สมุทรปราการ)ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นเมืองให้ผู้มีรายได้น้อยเช่าอยู่ พร้อมกับจัดหาบัตรรถไฟฟ้าในราคาค่าโดยสารที่ไม่สูงเกินกำลังของผู้มีรายได้น้อย เนื่องจากปัจจุบันคนกลุ่มดังกล่าวถูกผลักให้อยู่นอกเมืองและอาจจะเกิดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่สูงขึ้น