ฮาบิแททฯเปิดแผนปี60 ผุด 5 โครงการรวด รวมมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท พร้อมรุกขยายฐานลูกค้าใจกลางกทม. ครั้งแรก ประเดิมทำเลวิทยุ-สุขุมวิท ฟุ้งทุกโครงการไร้ปัญหารีเจค เหตุเจาะกลุ่มนักลงทุน เน้นดาวน์สูง 30% ตั้งเป้ายอดขายทั้งปีแตะ 2,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ 500 ล้านบาท

 

นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยถึง แผนการลงทุนของบริษัทฯในปี 2560 นั้นจะมีการเปิดตัวใหม่ทั้งสิ้น 5 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาทโดยที่ดินทั้ง 5 แปลง ซื้อมาในราคา 500-600 ล้านบาท แบ่งเป็นวิลล่า-คอนโดฯย่านพัทยา จำนวน 3 โครงการ และที่กทม. 2 โครงการ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทฯรุกเข้าไปทำตลาดในกทม. ได้แก่ 1. โครงการ X2 Pattaya Oceanphere (ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์) พูลวิลล่า ตากอากาศพร้อมอยู่สไตล์ โมเดิร์น ลักซ์ชัวรี่  รีสอร์ท ตั้งอยู่บริเวณซอยนาจอมเทียน56 บนที่ดินทั้งหมด 9 ไร่เศษพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 138.5-267 ตารางเมตร (ตร.ม.)ราคาขายเริ่มต้นที่ 9.79-15 ล้านบาท จำนวน 59 หลัง มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้านบาท โดยเมื่อเดือนธันวาคม 2559 ที่ผ่านมาได้เปิดขายในรอบวีไอพี ปัจจุบันมียอดจองแล้วกว่า 40 % โดยกลุ่มเป้าหมายเป็นการซื้อเพื่อลงทุน 100% และจะเริ่มเปิดพรีเซลล์สำหรับลูกค้าทั่วไปในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 นี้ โดยตั้งเป้าปิดยอดขายได้ทั้งหมดภายในปี 2561

โครงการที่2. เป็นคอนโดฯ ย่านนาจอมเทียน ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 25-30 ตร.ม. ราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป จำนวนกว่า 100 ยูนิต มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท โครงการที่3. เป็นคอนโดฯย่านหาดวงศ์อมาตย์  ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 25-52 ตร.ม.ราคา4 ล้านบาทขึ้นไป จำนวนกว่า 100 ยูนิต  มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท โครงการที่4.โครงการคอนโดฯ สูง 8 ชั้น ย่านถนนวิทยุ ใกล้โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ตั้งอยู่บนพื้นที่เกือบ 1 ไร่ ราคาขาย 200,000 บาท/ตร.ม. หรือยูนิตละ 6-12 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณกว่า 300 ล้านบาท และโครงการที่5.โครงการย่านสุขุมวิท บริเวณพระโขนง-อ่อนนุช บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ เป็นคอนโดฯขนาด 30-40 ตร.ม. ราคาขาย 150,000-190,000 บาท/ตร.ม. หรือ 5- 7 ล้านบาท จำนวนกว่า 100 ยูนิต มูลค่ากว่า700 ล้านบาท โดยจะเปิดขายในไตรมาส3/2560

 

“ทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทจะมีความชัดเจนคือ ไม่เข้าไปพัฒนาในตลาดที่มีการแข่งขันสูง แต่จะเน้นทำตลาดที่มีความแตกต่าง คือเน้นโครงการคอนโดฯและวิลล่าเพื่อปล่อยเช่าเป็นหลัก หรือหากมีการพัฒนาเป็นโครงการก็ต้องเป็นสินค้าที่มีดีไซน์ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนักลงทุน รวมไปถึงการใช้เชนบริหารที่เป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและเป็นที่รู้จักทั่วโลก ซึ่งที่ผ่านมาก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี”นายชนินทร์ กล่าว

 

โดยทุกโครงการที่บริษัทฯลงทุนจะมีการสร้างแบรนด์ใหม่อย่างต่อเนื่อง และทุกโครงการจะได้รับการันตีผลตอบแทน 7%ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยตั้งแต่ปีที่ 6 จะแบ่งผลกำไร 60% ให้กับเจ้าของห้อง ส่วนเจ้าของห้องพักจะได้รับสิทธิ์พักฟรี 14 วันใน 1 ปี โดยแบ่งเป็น 10 วัน สำหรับวันจันทร์-พฤหัส และ 4 วัน สำหรับศุกร์-อาทิตย์ ยกเว้นช่วงไฮซีซั่นส์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เป็นต้น

 

นายชนินทร์ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนเรื่องของความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อรายย่อยนั้น ทุกโครงการของบริษัทฯไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด เพราะที่ผ่านจะกำหนดให้วางเงินดาวน์ 30% โดยสัดส่วน 95% จะซื้อรายละ 1 ยูนิต และเป็นการซื้อด้วยเงินสดถึง 30% ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าคนไทย 80% ที่เหลืออีก 20% เป็นชาวต่างชาติ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และจีน เป็นต้น  จึงไม่ประสบปัญหาเรื่องการReject แต่อย่างใด

 

ส่วนความคืบหน้าการขายโครงการ Best Western Premier BayPhere Pattaya (เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา) ที่เหลืออีก 40% ตั้งใจจะขายให้หมดภายในปีนี้ และวางเป้าการขายสำหรับโครงการที่เปิดใหม่ทุกโครงการในปี 2560 ให้ได้ถึง 60- 80% ต่อโครงการ คาดทั้งปีจะมียอดขายประมาณ 2,000 ล้านบาท และรับรู้รายได้ 500 ล้านบาท จากปี 2559 ที่มียอดขายที่ 1,000 ล้านบาท และรับรู้รายได้ที่ 400 ล้านบาท และคาดว่าภายในระยะเวลา 3-5 ปี บริษัทฯจะมีรายได้จากการเช่า 30-40% และสัดส่วนที่เหลือจะเป็นรายได้จากการขาย ขากปัจจุบันที่มีรายได้จากการเช่า สัดส่วนไม่ถึง 10% จาก 1 โครงการคือ The Ville จอมเทียน พูลวิลล่า ที่ปิดการขายไป100% แล้ว

 

ส่วนความเคลื่อนไหวราคาที่ดินพัทยาเมื่อปี2559 ที่ผ่านมาที่ดินแปลงที่มีศักยภาพปรับราคาขึ้นไปสูงถึง 50% ปัจจุบันราคาที่ดินที่ติดทะเลย่านนาจอมเทียน มีราคาสูงตั้งแต่ 20-60 ล้านบาท/ไร่ โดยทำเลแพงสสุดยังคงเป็นย่านวงศ์อมาตย์ ราคาตั้งแต่ 150-200 ล้านบาท/ไร่ ส่วนที่ดินฝั่งภูเขาจะมีราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาท(+,-)ไร่

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*