ทีมงานprop2morrow.com สำรวจความเห็นของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ถึงความน่าสนใจของการเข้ามาลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยในมุมมองของกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ นั้นส่วนใหญ่ยังมองว่า ต่างชาติยังให้ความสนใจอสังหาฯในไทย โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ด้วยเหตุผล ต่างๆดังนี้

 

  • กฎหมายไทยเปิดให้ชาวต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ได้ 49%
  • ราคาต่อตารางเมตร หรือ ราคาต่อห้องยังถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับคอนโดฯในย่านเอเชีย
  • ราคาอสังหาฯไทยยังมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นได้
  • ผลตอบแทนในการลงทุน(ปล่อยเช่า)อยู่ในเกณฑ์ที่ดี 6-8%
  • เงื่อนไขในการซื้อไม่ยุ่งยาก
  • การซื้อขายเปลี่ยนมือได้ผลตอบแทนในระดับที่ดีกว่า10% ในทำเลที่มีศักยภาพ(อาจ)ได้มากว่านี้
  • ปัจจัยบวกที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จากการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาล
  • ค่าใช้จ่ายในการครองชีพ(สินค้าอุปโภค-บริโภค)อยู่ในระดับต่ำ
  • มีสถาบันการศึกษาทั้งระดับมัธยมและระดับมหาวิทยาลัยรองรับ
  • ลูกค้าชาวต่างชาติในบางประเทศมีข้อจำกัดในการซื้ออสังหาฯหรือที่อยู่อาศัยในประเทศของตนเองจึงต้องหาซื้อในต่างประประเทศ

 

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯไทยหลายรายดำเนินกลยุทธ์การตลาดยืดหยุ่นไปตามลูกค้า โดยเน้นกำลังซื้อระดับกลาง-ไฮเอนด์ และกลุ่มลูกค้าชาวจีนก็เป็นอีกตลาดเป้าหมายใหญ่ของอสังหาฯไทย ผ่านบริษัทตัวแทนขายหรือเอเจนซี่ ที่มีรูปแบบการขายเป็นแพคเกจให้นักลงทุนพ่วงบริการหลังการขาย ทั้งการดูแล ซ่อมบำรุง รวมถึงการหาลูกค้าเช่าต่อ

 

 “จีนแผ่นดินใหญ่ตลาดนี้ยังมีอยู่เยอะมาก” นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือ LPN กล่าวให้ความเห็นพร้อมกับย้ำว่า ปัจจุบันเอเจนซี่ คือบริษัทแองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ หรือAngle กำลังดำเนินการด้านการตลาดเพื่อนำห้องชุดกว่า 200 ยูนิตหรือคิดเป็นสัดส่วน 45%โครงการลุมพินี พาร์ค พหล 32 ไปขายที่ประเทศจีน คาดปลายปี 2560 น่าจะเริ่มเปิดขายได้

โครงการลุมพินี พาร์ค พหล 32

ทั้งนี้ Angle เป็นบริษัทเดียวกันกับที่นำห้องชุดโครงการ “ลุมพินี สวีท เพชรบุรี-มักกะสัน” ไปขายให้กับนักลงทุนชาวต่างชาติถือเป็นครั้งแรกในการนำกลยุทธ์ดังกล่าวมาใช้ในการขายคอนโดฯ  โดยเน้นลูกค้าจีน “การปรับวิธีการทำการตลาดดังกล่าวถือเป็นเรื่องใหม่ของ LPN แต่ก็ถือว่าได้ผลเกินความคาดหมาย” นายโอภาส กล่าวพร้อมกับเชื่อมั่นว่า โครงการลุมพินี พาร์ค พหล 32 ก็จะได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดเช่นกัน เนื่องจากราคาไม่สูงมากนัก ตั้งอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย หมอชิต-สายไหม-คูคต ซึ่งเมื่อโครงการรถไฟฟ้าสายดังกล่าวเปิดบริการได้ในปี 2562 บริษัทฯเชื่อมั่นว่าจะช่วยสนับสนุนให้ทำเลในย่านดังกล่าวมีศักยภาพเพิ่มยิ่งขึ้น

 

บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) คือบริษัทอสังหาริมทรัพย์อีกรายที่มีการเจาะกลุ่มลูกค้าชาวจีนชัดเจน โดยนายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ฯ จากยอดขายที่ได้ในปีนี้ประมาณ 1,200 ล้านบาทนั้นประมาณ 43% เป็นยอดขายที่ได้จากลูกค้าชาวต่างชาติ ซึ่งในจำนวนดังกล่าว 70% เป็นลูกค้าจีนฮ่องกง ใต้หวัน และจีนแผ่นดินใหญ่ และในการเปิดตัวคอนโดฯโครงการใหม่ในปีหน้า ก็ยังจะเน้นกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติควบคู่ไปกับคนไทย

 

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ผู้เล่นรายใหญ่เบอร์ต้นๆที่ได้ประกาศแผนธุรกิจมาอย่างต่อเนื่องในการรุกตลาดต่างชาติและ กลุ่มลุกค้าชาวจีนก็เป็นเป้าหมายหลัก โดยล่าสุดแสนสิริ ประกาศความร่วมมือการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ(Strategic Partner)  กับ “Luen Thai” (ลุนไทย) กลุ่มธุรกิจรายใหญ่ในจีน ขยายตลาดอสังหาฯ ไทยไปตามหัวเมืองใหญ่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เสินเจิ้น และกวางโจว เปิด 4 สำนักงานขายครองตลาดจีน ดึงจุดแข็ง Luen Thaiที่เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงครอบคลุมธุรกิจค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ การประมง การท่องเที่ยว โลจิสติกส์และซัพพลายเชนในตลาดประเทศจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ช่วยส่งต่อฐานลูกค้ากลุ่มใหม่และเข้าถึงสื่อที่กลุ่มลูกค้าจีนให้ความนิยม วางเป้าลูกค้าจีนขึ้นแท่นอันดับหนึ่งยอดขายตลาดต่างชาติ พร้อมรุกโรดโชว์ตลาดจีนไตรมาสสุดท้ายเต็มสูบ

 

นอกจากนี้ยังมีการแลกเปลี่ยนจุดแข็งด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพในระดับสากล เป็นที่ยอมรับจากกลุ่มลูกค้าและนักลงทุนทั่วโลก

นายเศรษฐา  ทวีสิน  กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ  เปิดเผยถึงศักยภาพและโอกาสทางธุรกิจในตลาดประเทศจีนซึ่งบริษัทประสบความสำเร็จในการสร้างยอดขายในตลาดจีนปี 2559 สูงถึง 1,700 ล้านบาท ขณะที่ช่วง 9 เดือนของปีนี้ บริษัทสามารถสร้างยอดขายจากตลาดจีนได้แล้วถึง 2,300 ล้านบาทและคาดว่าจะสร้างยอดขายจากตลาดจีนได้ถึง 3,500 ล้านบาทในปีนี้ ซึ่งเป็นเป้าหมายเดียวกับตลาดฮ่องกง ซึ่งยอดขายอสังหาริมทรัพย์ในทั้งสองประเทศคือ จีนและฮ่องกงประมาณ 7,000 ล้านบาท

 

เมื่อรวมกับยอดขายตลาดต่างชาติจากประเทศอื่นๆ จะทำให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายรวมตลาดต่างชาติได้ถึง 9,000 ล้านบาท เกินจากเป้าหมาย 8,500 ล้านบาทที่ตั้งไว้ในปีนี้

 

การร่วมมือการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ “Luen Thai”ครั้งนี้เป็นการร่วมลงทุน (Joint Venture) 50:50 เพื่อขยายธุรกิจการขายอสังหาริมทรัพย์ไทยในประเทศจีนโดยเริ่มจากการตั้งสำนักงานในจีนเพิ่มอีก 3 แห่ง ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ เสินเจิ้น และกวางโจว จากเดิมที่มีสาขาตั้งอยู่ในปักกิ่ง ทั้งนี้ สำนักงานในประเทศจีนของแสนสิริทั้ง 4 แห่งจะเป็นศูนย์กลางในการในการประสานงานธุรกิจกับตัวแทนจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ท้องถิ่น ( Local Property Agents) ในแต่ละเมือง รวมถึงการสนับสนุนกิจกรรมโรดโชว์ที่จะจัดขึ้นทุกเดือนเพื่อนำเสนอศักยภาพและความหลากหลายของอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่ ให้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

 

โดยกลยุทธ์ทางการตลาดจะแตกต่างกันไปในแต่ละเมือง ตัวอย่างเช่น ปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน จะมีฐานลูกค้าระดับกลางและระดับบนในกลุ่มนักลงทุนและผู้ต้องการบ้านพักตากอากาศระดับไฮเอนด์ ส่วนเซี่ยงไฮ้ นับ เป็นศูนย์กลางธุรกิจที่สำคัญของจีนที่มีดีมานต์ความต้องการอสังหาฯ ไทยอยู่อีกจำนวนมาก

 

ขณะที่กวางโจว และเสินเจิ้น เป็นเมืองที่มีทำเลไม่ไกลจากฮ่องกง มีการใช้ภาษาและวัฒนธรรมใกล้เคียงกับฮ่องกง ซึ่งแสนสิรินับว่ามีประสบการณ์และประสบความสำเร็จจากการทำตลาดที่ฮ่องกงมาแล้ว จึงสามารถนำประสบการณ์มาทำตลาดเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในกวางโจวและเสินเจิ้นได้ไม่ยาก

 

นอกจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนแล้ว กลุ่มลูกค้าในประเทศจีนยังมองหาบ้านพักตากอากาศ โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอย่างภูเก็ต เชียงใหม่ และพัทยา เป็นต้น

 

ขณะเดียวกันบริษัทยังมองเห็นความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนชาวจีน สำหรับคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ เนื่องจากราคาขายที่ต่ำกว่าในประเทศจีน 2-4 เท่าตัวรวมทั้งยังได้รับผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าที่สูงกว่า โดยมีผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 5-7% บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการโปรโมทโครงการคอนโดมีเนียมผ่านกิจกรรมโรดโชว์ โดยเฉพาะคอนโดฯที่ตั้งในศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ เช่น ย่านสาทร ถนนวิทยุ และทองหล่อ เป็นต้น นอกจากนี้ เพื่อเป็นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น

 

บริษัทฯคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายจากตลาดจีนในปีนี้ได้ถึง 3,500 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยผลักดันยอดขายรวมตลาดต่างชาติในปีนี้เป็น 9,000 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน 25% จากเป้ายอดขายรวม 40,000 ล้านบาท ที่ตั้งไว้ในปีนี้ซึ่งนับเป็นสัดส่วนที่สูง ทั้งนี้ยังได้ตั้งเป้าหมายยอดขายต่างชาติในปีหน้าเพิ่มขึ้นเป็น  12,000  ล้านบาท

 

เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากกลุ่มลูกค้าจีน ที่เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของผู้ประกอบการอสังหาฯ(บางราย)ของไทยแล้ว ยังพบว่าได้มีการขยายฐานการขายตลาดต่างชาติใหม่ๆที่มีศักยภาพอื่นๆ เห็นได้จากขณะนี้บริษัทอสังหาฯไทยได้เริ่มขยายความร่วมมือกับสถาบันที่มีบริการด้านดูแลสุขภาพ รวมทั้งผนึกกำลังกันวนรูปแบบการร่วมทุนขยายการพัฒนาโครงการสู่ตลาดผู้สูงวัยหรือเกษียณอายุ ด้วยเพราะมองเห็นโอกาสที่จะทำให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างยั่งยื่น จากภาพใหญ่เทรนด์ของโลกรวมถึงเทรนด์ของตลาดผู้บริโภคของคนไทยเอง พร้อมกับมีความเชื่อมั่นว่า ตลาดยุโรปน่าจะกลับมาเมืองไทย