พราว เรียล เอสเตท ทุ่ม 1,800 ล้านบาท  เปิดโรงแรมและขยายสวนน้ำ ตั้งเป้าดันวานา นาวา หัวหินเป็นต้นแบบมิกซ์ยูสท่องเที่ยวแนวใหม่ นำร่องโปรเจคภูเก็ต พร้อมเปิดตัวคอนโดฯใหม่ “วานา นาวา เรสซิเดนท์” ในปี 2561

 

หลังจากที่เดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงการ  “วานา นาวา หัวหิน”เป็นโครงการมิกซ์ยูส นำร่องคอนเซ็ปต์ “Playcation” (เพลย์เคชั่น) แลนด์มาร์คใหม่แห่งการพักผ่อนและแหล่งความบันเทิงครบวงจรแห่งแรกในไทย  หรือ “Resort Destination”  ด้วยเงินลงทุนรวมเกือบ 4 พันล้านบาท บนพื้นที่ 35 ไร่ไปเมื่อ 3 ปีก่อน โครงการดังกล่าวแบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 เฟส และโครงการ “สวนน้ำวานา นาวา หัวหิน” (Vana Nava Water Jungle) เป็นการพัฒนาในเฟสแรกซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดผู้บริโภค โดยจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ กลุ่มครอบครัว คู่รัก และกลุ่มการจัดประชุมและสัมมนา ในการวางแผนการตลาดของเรานั้นเราจะขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนจีนมากขึ้น

ด้วยเหตุนี้จึงได้ขยายการลงทุนใน 2 เฟสที่เหลือให้เป็นไปตามแผน นางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า ในเฟสที่ 2 ขยายการลงทุนในหัวหิน ทุ่มงบประมาณเพิ่มกว่า 1,800 ล้านบาทพัฒนา“โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหิน” (Holiday Inn Vana Nava Hua Hin) และ “วานา นาวา สกาย” (Vana Nava Sky) บาร์ ห้องอาหาร และจุดชมวิวลอยฟ้า เพิ่มความสะดวกสบายแก่นักท่องเที่ยว จับกลุ่มลูกค้าใหม่ ตั้งเป้าเป็นต้นแบบโครงการมิกซ์ยูสท่องเที่ยว เดินหน้าลุยโครงการแห่งใหม่รูปแบบเดียวกันในจังหวัดภูเก็ตในอนาคตด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ

 

สิ่งสำคัญของคอนเซ็ปต์ Playcation ซึ่งจะเป็นมากกว่าโรงแรมที่อยู่ติดกับสวนน้ำ คือการสร้างประสบการณ์ที่ผสมผสานความสนุก กับความสะดวกสบายให้ลูกค้าได้อย่างไม่มีที่ติ  ซึ่งทางเราได้นำเอาเทคโนโลยี “RFID” (อาร์เอฟไอดี) เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้เข้าพักในโรงแรม โดยลูกค้าจะได้รับสายรัดข้อมือ RFID ซึ่งสามารถใช้เข้าสู่สวนน้ำ เปิดประตูห้องพักโรงแรม และจ่ายค่าอาหาร ค่าบริการทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถเลือกชำระเงินภายในครั้งเดียวแบบ Pre-paid หรือ Post-paid ก็ได้ ช่วยให้พ่อแม่สามารถเติมเงินสำหรับเด็กๆ ในจำนวนที่ต้องการ หรือกลุ่มสัมมนาสามารถควบคุมการใช้จ่ายได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาการใช้เทคโนโลยีกับบริการอื่นๆ ในอนาคต เช่น บริการ e-commerce ภายในห้องพัก เป็นต้น

 

สำหรับโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหิน เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวขนาด 300 ห้อง อาคารโรงแรมมีความสูง 140 เมตร นับเป็นโรงแรมที่สูงที่สุดในเมืองหัวหิน มองเห็นวิวทะเลแบบพาโรนาม่า และมีความโดดเด่นในฟังก์ชั่นที่หลากหลาย ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบจากโรงแรมอื่นๆ ในหัวหิน ภายในมีพื้นที่รองรับการประชุมและการจัดกิจกรรม (MICE) ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในหัวหินด้วยพื้นที่ห้องบอลรูมกว่า 1,500 ตารางเมตร มีอุปกรณ์การประชุมที่ครบวงจรและทันสมัย พร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆสามารถเข้าพักได้ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2560 – 30 เมษายน 2561 เริ่มสำรองห้องพักได้ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายนเป็นต้นไป

 

ส่วนเฟสสุดท้ายจะเป็นการพัฒนาโครงการ “วานา นาวา เรสซิเดนท์” (Vana Nava Residence) คอนโดมิเนียมไฮไรส์  จำนวน 100 ยูนิต ระดับราคาขายกว่า 100,000 บาท ต่อตารางเมตร คาดว่าจะเปิดตัวได้ภายในปี 2561

 

 

เพื่อที่จะสร้างความแตกต่างในการมาพักที่หัวหินอย่างแท้จริง ทางพราวฯ มีแผนที่จะผูกและเชื่อมโยงการให้บริการและการขายของโรงแรมเข้ากับการลงทุนของ พราว เรียล เอสเตท โครงการอื่นๆ ในหัวหิน ได้แก่ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัลหัวหิน รีสอร์ท, บลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ท มอลล์ และทรูอารีน่า หัวหิน ศูนย์รวมสปอร์ตไลฟ์สไตล์ โดยคาดว่า โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหิน จะมี ADR (อัตราราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวัน) ที่สูงกว่าคู่แข่งอย่างน้อยเกือบ 20% และมีอัตราการเข้าพักอยู่ระหว่าง 60 – 70%  ภายในปีแรกของการเปิดให้บริการ และจะส่งผลให้มีจำนวนผู้เข้ามาใช้บริการที่สวนน้ำ วานา นาวา เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 100,000 คนในแต่ละปี เป็นปีละ 350,000 คน

 

หากพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ พราว เรียล เอสเตท มีแผนสร้างโครงการภายใต้แนวคิด “Playcation” ในพื้นที่อื่นอีกด้วย “เมื่อไม่นานมานี้ ทางบริษัทเพิ่งได้มีการซื้อที่ดินแปลงใหญ่ในภูเก็ต และกำลังศึกษาความเป็นไปได้ของการพัฒนาโครงการรูปแบบเดียวกัน โดยมีสวนน้ำขนาดใหญ่ และโรงแรม และนำเทคโนโลยีต่างๆ ไปใช้ รวมไปถึงรีสอร์ทและสวนน้ำอื่นๆ ทั่วภูมิภาคนี้ที่เรากำลังช่วยวางแผนอีกด้วย โดยเมื่อปีที่แล้วได้ลงนามสัญญาร่วมทุนกับ WhiteWater West Canada เพื่อจัดตั้ง WhiteWater South East Asia ซึ่งได้ให้บริการในการให้คำแนะนำแบบครบวงจรสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการทำสวนน้ำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งภายในปีแรก ทาง WhiteWater South East Asia ได้มีการดำเนินการแล้ว 6 โครงการ ใน 4 ประเทศ คือประเทศ ฟิลิปินส์ 1 โครงการ, เวียดนาม 2 โครงการ, อินโดนีเซีย และประเทศมาเลเซีย จำนวน 2 โครงการ