ลลิลฯเผยภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีจอส่งสัญญาณบวก อานิสงส์จากการลงทุนภาครัฐ-ส่งออก มองการเติบโตที่อยู่อาศัยแนวราบปีนี้ที่ 5-7% ส่วนคอนโดฯยังแข่งดุ ระวังบางทำเลเริ่มเกิดโอเวอร์ซัพพลาย ระบุตลาดปี61 เข้าสู่ยุค “ปลาเร็วกินปลาช้า” เปิดแผนปีนี้จ่อผุด 8-10  โครงการใหม่ รวมมูลค่า 4,500-5,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายแตะ 4,400 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 4,000 ล้านบาท 

 

 

นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN เปิดเผยถึง ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2561 ว่ายังคงมีสัญญาณบวก ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจจะสามารถขยายตัวได้ดีขึ้นเล็กน้อยจากปี 2560 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ประมาณ 3.8 – 3.9% โดยการขยายตัวในปี2561 นั้นจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการส่งออกที่คาดว่าจะยังคงขยายตัวได้ดี ตามทิศทางเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง ในส่วนของภาคการท่องเที่ยว คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะยังคงขยายตัวได้ดี นอกจากนี้ในปี 2561นี้ จะมีเม็ดเงินจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเม็ดเงินจากการลงทุนของภาครัฐ ที่จะเริ่มทยอยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น กอปรกับการคาดการณ์ว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2561 หรือต้นปี 2562 เพื่อให้ทุกอย่างมีเสถียรภาพ ชาวต่างชาติมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น  ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นแรงส่งช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่อเนื่อง รวมทั้งช่วยให้ตัวเลขการบริโภคและการลงทุน ขยายตัวได้ดีขึ้นในระยะต่อไป ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่เกรงว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือหากเกาหลีเหนือตัดสินใจสู้รบกับสหรัฐ ก็จะทำให้เกิดผลกระทบทั่วโลก

 

สำหรับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวได้ดีขึ้นจากปี 2560 โดยมีปัจจัยบวกมาจากทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการลงทุนของภาครัฐ  นอกจากนี้ภาพรวมของตัวเลขหนี้ภาคครัวเรือนต่อจีดีพี ที่เริ่มค่อยๆ ปรับลดลง และคาดว่าจะเริ่มคลี่คลายได้ภายในระยะเวลา 2-3 ปีนี้ จะช่วยให้กำลังซื้อปรับดีขึ้น สำหรับอัตราดอกเบี้ยในประเทศยังคงทรงตัวในระดับต่ำ แม้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาในปี 2561 นี้  มีความเป็นไปได้ที่จะปรับเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3 ครั้งๆละ 0.25%ก็ตาม โดยมองว่าที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งเป็นตลาด Real Demand จะยังคงขยายตัวได้ประมาณ 5-7% สำหรับตลาดอาคารชุด อาจต้องระมัดระวังในบาง Sector และในบางทำเล ซึ่งอาจเริ่มเห็นสัญญาณ Over Supply บ้าง อาทิแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ทำเลย่านสมุทรปราการ และย่านสะพานใหม่

 

“ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาตลาดคอนโดฯมีการปรับราคาขึ้นมาไม่ต่ำกว่า 30-40% ซึ่งในปีนี้ตลาดคอนโดฯจะมีการแข่งขันที่รุนแรงและเหนื่อยมากในการหาช่องว่างตลาด ส่วนตลาดระดับบนยังมีกำลังซื้ออยู่ เพราะดีมานด์ที่เป็นชาวต่างชาติยังให้ความสนใจซื้ออย่างต่อเนื่อง เนื่องจากราคาคอนโดฯในประเทศไทยยังถูกกว่าสิงคโปร์และฮ่องกง”นายไชยยันต์ กล่าว

 

นายไชยยันต์ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของบริษัทฯมั่นใจว่าด้วยกลยุทธ์ที่ดำเนินการมาถูกต้องโดยตลอด และผลประกอบการที่เป็นบวกเมื่อเทียบกับในช่วงปี 2560 ที่ผ่านมา จึงเชื่อว่าในปี 2561 นี้ จะเป็นยุค “ปลาเร็วกินปลาช้า” คือหากผู้ประกอบการรายใดมีข้อมูลการตลาดที่แม่น ถูกต้อง และสามารถเข้าไปทำตลาดได้ก่อน ก็มีโอกาสมากกว่า เพราะบางตลาดจะมีลูกค้าที่จำกัด ดังนั้นการดำเนินการตลาดที่รวดเร็วกว่าก็จะสามารถชนะผู้แข่งขัน

 

 

ดังนั้นจึงเชื่อมั่นว่าในปีนี้จะสามารถขยายตัวได้สูงกว่าภาพรวมของตลาดฯ ติดต่อกันเป็นปีที่3 โดยมีการวางแผนธุรกิจที่สนับสนุนการขยายตัวของบริษัท ทั้งนี้ในปี2561 นี้ บริษัทมีแผนขยายโครงการใหม่ทั้งสิ้น 8-10 โครงการมูลค่ารวมประมาณ 4,500-5,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 4,400 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 4,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนประมาณ 15% โดยปี 2560 ที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายประมาณ 3,650 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 3,100 ล้านบาท

 

 

ด้านนายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALINกล่าวว่า ในปี2561 บริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานในเชิงรุกเพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ไว้วางใจ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้มากว่า3ทศวรรษ และบริษัทฯ ยังคงมุ่งสู่ความเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะโครงการแนบราบที่บริษัทมีความชำนาญ ทั้งแนวความคิด การวางคอนเซ็ปต์ความคุ้มค่าในการอยู่อาศัย และการเลือกทำเลศักยภาพ ตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์และราคา และเน้นการทำ Digital Marketing และกลยุทธ์ด้านลูกค้าสัมพันธ์ (CRM Strategy)

 

สำหรับแผนงานกลยุทธ์โครงการ “ลลิล ทาวน์ (LALIN Town)เตรียมเปิดตัวไว้ 8-10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,500 – 5,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ แลนซีโอและไลโอครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัดในส่วนของหัวเมืองหลัก และหัวเมืองชั้นรอง แบ่งสัดส่วนทำเลออกเป็น โซนกรุงเทพฯ และปริมณฑล 75-80% และในทำเลต่างจังหวัด 20-25% โดยจะพัฒนาไตรมาสละประมาณ 2 โครงการ ขณะนี้มีที่ดินรองรับแล้วประมาณ 50%

 

ในส่วนของทางด้านการเงิน บริษัทฯ วางงบซื้อที่ดินไว้ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ที่ได้มาจากการโอนโครงการต่างๆ และส่วนหนึ่งจะมาจากการออกหุ้นกู้ ซึ่งจะพิจารณาออกในจำนวนและช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้สอดรับกับการขยายธุรกิจ และการเติบโตในระยะยาวของบริษัททั้งนี้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ของบริษัทในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่มาก ซึ่งสะท้อนความเสี่ยงทางด้านการเงินที่ต่ำ และยังคงมีศักยภาพในการขยายธุรกิจได้อีกมากโดยไม่ติดปัญหาเรื่องของแหล่งเงินทุน