แม้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ภาพโดยรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเป็นเกมส์ของผู้เล่นรายใหญ่ แต่ใช่ว่าดีเวลลอปเปอร์ขนาดกลางๆที่มียอดขายและระดับรายได้ประมาณ 5,000  (+,-) จะไม่มีเวทีให้เล่น ตลาดกลางถึงล่างที่segment ระดับราคา 1-5 ล้านบาท หรือหากเป็นตลาดที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมระดับราคา 60,000-80,000 บาทต่อตารางเมตร(ตร.ม.)ได้กลายเป็นช่องว่างในการเข้าไปเจาะ และตลาดกลุ่มนี้มีความต้องการสูงเพราะประชากรกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศไทยอยู่ในกลุ่มนี้ …แต่ด้วยเพราะLandscape ของอสังหาริมทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก ทั้งในเรื่องของโครงสร้างของผู้เล่นหรือผู้ประกอบการที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงความต้องการที่อยู่อาศัยและผู้ซื้อที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเช่นกัน ได้เวลาที่ดีเวลลอปเปอร์อสังหาฯขนาดกลางต้องผ่าทางตันธุรกิจนั่นคือ …การระดมทุนผ่านการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2561-62  ด้วยเหตุผลหลักๆดังนี้

  • รองรับแผนการขยายธุรกิจ
  • เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
  • ชำระหนี้สถาบันการเงิน
  • เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าที่ซื้อบ้าน/คอนโดฯในโครงการได้สิทธิสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ
  • ยกระดับมาตรฐานของบริษัท…สู่มืออาชีพ

เรากำลังจะทำ Ecoโปรดักส์ใหม่ที่เป็นคอนโดฯราคาเริ่มต้น 5 -6 หมื่นบาทต่อตร.ม.ต่อยูนิตราคาล้านต้นๆขายในทำเลแนวรถไฟฟ้าไม่ไกลจากใจกลางเมืองธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวซึ่งเขามองว่า Eco โปรดักส์ใหม่ที่จะเอาลงตลาดนี้จะเจาะกลุ่มคนเริ่มทำงานนี่เป็นช่องว่างทางการตลาดที่ขณะนี้ผู้เล่นรายใหญ่ที่เป็นเจ้าตลาดคอนโดฯเซกเมนต์นี้ได้ขยับไปเจาะตลาดกลางถึงกลางบนระดับราคาขายตั้งแต่ราคาเริ่ม 1-1.5แสนบาทต่อตร.ม. ซึ่งออลล์ อินสไปร์ฯเองก็มีโปรดักส์ในกลุ่มนี้เช่นกัน

 

ในปี 2561 บริษัทฯคงต้องขยายฐานตลาดให้ได้มากที่สุดเพื่อรองรับรายได้ รองรับการเติบโตให้สอดรับกับแผนการนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีนี้ “การที่เราจะโตไปมากกว่านี้ทั้งฐานรายได้ กำไร ยอดขาย รวมถึงฐานลูกค้า การระดมทุนในตลาดทุนมีความสำคัญมาก และนั่นคือเป้าหมายของเรา” โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้สำหรับการซื้อที่ดินและใช้รองรับพัฒนาโครงการในอนาคต

 

ข้อมูลสำคัญของ ออลล์ อินสไปร์ฯปี 2561

  • เปิดโครงการใหม่อย่างน้อย 7 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท
  • เป้ารายได้อยู่ที่ 5,000 ล้านบาท / ยอดขายอยู่ที่ 8,000 ล้านบาท 
  • งบซื้อที่ดิน 5,000 ล้านบาท
  • เป้าหมายสัดส่วนลูกค้าต่างชาติ 45%
  • ยอดขายรอรับรู้รายได้ หรือ Backlog ( ณ สิ้นปี 2560 )ประมาณ 7,500 ล้าน
  • ประกาศเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯในปลายปี 2561

 

อนึ่ง :บริษัทออลล์ อินสไปร์ฯ เริ่มต้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบันมี 11 โครงการ รวมกว่า 4,000 ยูนิต มูลค่ากว่า 8,700 ล้านบาท  ในส่วนของยอดขายปี 2560 อยู่ที่ 5,500 ล้านบาท ซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปี 2559 ที่มียอดขาย 2,300 ล้านบาท และในปี 2560 มียอดขายจากต่างประเทศที่ 2,062 ล้านบาท และในเดือนกันยายน 2560 บริษัทฯ ประกาศร่วมทุนกับกลุ่มฮูซิเออร์ โฮลดิงส์ จากญี่ปุ่น นำร่องด้วยโครงการ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ สุขุมวิท 50 มูลค่า 2,000 ล้านบาท และตามข้อตกลงยังมีอีก 2 โครงการรวม 3 โครงการแรก 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นไทย 51% และญี่ปุ่น 49%

 

โดยในปี 2561 ออลล์ อินสไปร์ฯถือว่าเป็นครั้งแรกของการบุกตลาดทั้งโครงการแนวราบ โครงการคอนโดมิเนียมรูปแบบ High Rise และโครงการคอนโดมิเนียมระดับ ลักชัวรี่

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม “ออล อินสไปร์”ประกาศผุด7โครงการปี61มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาทได้ที่ https://prop2morrow.com/2018/01/12

 

บริษัทเจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน)หรือCMC คือ ดีเวลลอปเปอร์อีกรายที่ได้นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และได้ยื่น Filing แล้ว  ซึ่ง ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 บริษัทฯมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท (ชำระแล้ว750 ล้านบาท) การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ บริษัทฯมีวัตถุประสงค์การใช้เงินดังนี้คือ การขยายธุรกิจ , ชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ  ตามรายงานยัง ระบุ ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 กลุ่มบริษัทฯ มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีความแน่ชัดในการพัฒนาเป็นโครงการเพื่อขายภายใน 2 ปี แต่ยังไม่ได้เริ่มทำการพัฒนา จำนวน 11 โครงการ กว่า 5,400 ยูนิตรวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 11,000 ล้านบาท ซึ่งตามแผนก็จะเปิดขายโครงการในปี 2561

 

“ที่ดินนับวันยิ่งแพงขึ้นๆการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นผมว่ามีความจำเป็นมากๆ” กรมเชษฐ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด กล่าวพร้อมเล่าว่า การหาโอกาสเพิ่มศักยภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันนั้นจึงมีความจำเป็น แผนจะนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย SET  ในช่วงปลายปี 2562 จากปัจจุบันมีอยู่ที่ 100 ล้านบาท  หลังการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯเราก็น่าจะระดมทุนได้อย่างน้อยก็ 1,000-2,000 ล้านบาทเพื่อนำมาขยายธุรกิจ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส เป็นที่ปรึกษาทางด้านการเงิน

แอสเซทไวส์ พัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งแนวสูงแนวราบ โดยได้เข้าสู่ตลาดแนวสูง (คอนโดฯ)นั้นในปี 2556 ถึงปัจจุบัน 20 โครงการ จำนวน 4,000 ยูนิต มูลค่ารวมทั้งสิ้น 12,000 ล้านบาท …และวันนี้ เราสะสมประสบการณ์ สะสมพอร์ตยอดขายได้ระดับที่เหมาะสมและตั้งเป้าเติบโตเฉลี่ยต่อปีไม่น้อยกว่า 20 % ส่วนการเปิดตัวโครงการใหม่จะเน้นคอนโด Low Rise เนื่องจากใช้เวลาในการพัฒนา และขายไม่นานประมาณปีครึ่ง ทำให้รอบหมุนของเม็ดเงินลงทุนเร็วและลดความเสี่ยงธุรกิจ

ข้อมูลสำคัญของบริษัทแอสเซทไวส์ ปี 2561

  •  ตั้งเป้ายอดขาย อยู่ที่ 4,200 ล้านบาท  เติบโตถึงกว่า 25 % 
  • เป้ารับรู้รายได้ 4,000 ล้านบาท
  • วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 6 โครงการ รวมมูลค่า 5,000 ล้านบาท
  • ยอดขายรอรับรู้รายได้หรือ Backlog ( ณ สิ้นปี 2560 )ประมาณ 5,500 ล้านบาท
  • ประกาศเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯในปี 2562

อนึ่ง : ในปี 2560 เปิดตัวทั้งหมด 6 โครงการ มูลค่ารวม 4,445 ล้านบาท  โดยมียอดขายรวมอยู่ที่ 3,336 ล้านบาท ขณะที่ยอดรับรู้รายได้จากการโอนรวมในปี 2560 อยู่มี 829 ล้านบาท

 

อีกรายที่อยู่ระหว่างแต่งตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอ (MAI)ในปี 2562 คือ บริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป จำกัด ที่ตั้งเป้าไว้ภายในปี2562

ข้อมูลสำคัญของบริษัทเบล็ส แอสเสท กรุ๊ป ปี 2561

  • ปี2561 มีแผนเปิดตัวใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1,500 ล้านบาท
  • ตั้งเป้ารายได้ปี 2561 อยู่ที่ 800 ล้านบาท (ปี 2560 มีรายได้ที่ 573 ล้านบาท)
  • มีแลนด์แบงก์สะสมอยู่ 2 แปลงๆแรก ติดแนวรถไฟฟ้า 2สาย คือสายสีม่วง และสีแดง พื้นที่ 4 ไร่เศษ อีกแปลงอยู่ย่านปทุมธานี พื้นที่ 5 ไร่
  • อนาคตก็มีแผนจะซื้อเพิ่มอีก3-5 แปลง ๆละ100-200 ล้านบาท
  • สัดส่วนรายได้ 2561-2562 แนวราบ สัดส่วน 70% และแนวสูง 30%

 

การแต่งตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางและขนาดเล็ก ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ตีฝ่าวงล้อมธุรกิจยุคตลาดเข้าสู่จุดเปลี่ยนใหม่…ครั้งใหญ่ !!