4ผู้ประกอบการอสังหาฯสบช่องว่างตลาดบ้านหรูในเมืองราคาเทียบคอนโดฯลักชัวรี่ยังมีดีมานด์ ผนึกกำลังตั้งบริษัทร่วมทุนผุดบ้านแฝดนะดับไฮเอนด์ “D8”มูลค่า 240 ล้านบาท ตอบโจทย์ลูกค้า 3 เจนเนอเรชั่น คาดปิดการขายภายในปี61 ประกาศทิศทางธุรกิจรุกตลาดบ้าน-คอนโดฯในเมืองต่อเนื่อง

 

 

นายเลิศมงคล วราเวณุชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดวา เรียลเอสเตท จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯปี2561ว่าแม้จะอยู่ในสภาวะทรงตัว แต่ถือว่ามีแนวโน้มดีกว่าในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา และมีอัตราการเติบโตดีกว่าปี2560 โดยคาดว่าจีดีพีในปีนี้จะอยู่ที่ 4.2% และมีการประเมินการลงทุนของภาครัฐว่าจะไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านล้านบาท(43,000 ล้านเหรียญสหรัฐ)ภายใน 5 ปีแรก และพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)จะเป็นทำเลทองแห่งใหม่ที่น่าจับตามองและน่าลงทุน

 

 

สำหรับทำเลกทม.-ปริมณฑล ที่อยู่ในแนวรถไฟฟ้าจะมีอัตราการเติบโตดี ซึ่งในปี2568 จะมีรถไฟฟ้าแล้วเสร็จและเปิดให้บริการรวม 12 เส้นทาง จำนวน 500 สถานี ส่งผลให้ที่ดินที่อยู่ในแนวรถไฟฟ้ามีราคาเพิ่มสูงขึ้น  ขณะเดียวกันปัจจุบันผู้บริโภคที่เป็นครอบครัวขยาย ทำงานในเมืองและต้องการส่งบุตรหลานเรียนโรงเรียนย่านใจกลางเมือง ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยย่านใจกลางเมืองที่ไม่ใช่คอนโดมิเนียม โดยต้องการที่อยู่ที่เป็นบ้าน มีพื้นที่ใช้สอยมาก สามารถอยู่อาศัยได้ถึง 3 เจนเนอเรชั่น

 

 

ดังนั้นเพื่อเป็นการตอบโจทย์ดีมานด์กลุ่มดังกล่าว ตนและพันธมิตรอีก 3กลุ่มจึงได้ก่อตั้งบริษัท เดวา เรียลเอสเตท จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท โดยตนถือหุ้นสัดส่วน 30% ,นายนพดล ธรรมวิวัฒน์กรรมการ บริษัท นอร์ธแลนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ถือหุ้นสัดส่วน  30% ,นางกมนนัทธ์ เต็มไตรรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง(ประเทศไทย)จำกัด ถือหุ้นสัดส่วน 30%และนายนภัท กิจประเสริฐ ผู้ดำเนินโครงการซิกเนเจอร์ ถือหุ้นสัดส่วน 10%

 

 

ร่วมพัฒนาโครงการ “D8” Luxury Vertical House บริเวณย่านเอกมัย-รามอินทรา  บนพื้นที่ 1 ไร่ ในรูปแบบของบ้านแฝด สูง 6 ชั้น ขนาด 64-68ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 700 ตารางเมตร  ราคา 39.9 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 56,000 บาท จำนวน 6 ยูนิต มูลค่าโครงการ 240 ล้านบาท  โดยจะเปิดพรีเซลในวันที่ 24 มีนาคม 2551 นี้ คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ในปีนี้ ด้านการก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการในเดือนเมษายนนี้ และแล้วเสร็จในต้นปี2562

 

“เราเห็นช่องว่างตลาด ที่ยังไม่ค่อยมีใครทำโครงการแบบนี้มากนัก ซึ่งเป็นที่ต้องการของครอบครัวขยาย ดังนั้นสินค้าระดับราคา 40 ล้านบาทถือว่าเป็นราคาที่ลูกค้ากลุ่มนี้มีกำลังซื้อมากพอ แต่ทำมากไม่ได้ เพราะเป็นนิชมาร์เก็ต มียูนิตน้อยจะสามารถปิดการขายได้เร็ว และให้ความรู้สึกที่ดีกว่าอยู่คอนโดฯมาก คืออยู่ย่านกลางเมืองและมีพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า”นายเลิศมงคล กล่าว

 

 

นายเลิศมงคล กล่าวต่อไปว่า ทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯจะเน้นการพัฒนาบ้านในเมือง ระดับลักชัวรี่ ราคา 20-30 ล้านบาทขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันก็สนใจที่จะพัฒนาคอนโดฯในเมือง ระดับราคาประมาณ 100,000-300,000 บาท/ตารางเมตร เช่นกัน ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาหาที่ดินที่มีศักยภาพ ซึ่งมีนำมาเสนอหลายแปลง โดยบริษัทจะให้ความสนใจทำเลพระราม9,เอกมัย-รามอินทรา และเกษตร-นวมินทร์ เป็นต้น