ฮาบิแททฯเผยทำเลสุขุมวิทซัพพลายยังเติบโตต่อเนื่อง รองรับดีมานด์ไทย-ต่างชาติที่มีกำลังซื้อ ราคาขายปรับขึ้นไปที่ 150,000-250,000 บาท/ตารางเมตร ด้านทำเลอโศก-พร้อมพงษ์ พบสัดส่วนการอยู่อาศัยสูงถึง70-80% Capital Gain 6-10%ต่อปี ล่าสุดเตรียมเปิดตัว “วาลเด้น อโศก” มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท พร้อมพรีเซล 24-25 มีนาคม นี้ คาดฟันยอดขาย 80%

 

 

นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดคอนโดฯในพื้นที่กรุงเทพฯมีซัพพลายเกือบ 100,000 ยูนิต/ปี แต่สำหรับในทำเลสุขุมวิทไม่เกินเอกมัย มีซัพพลายประมาณ 6,000-8,000 ยูนิต/ปี ขณะเดียวกันดีมานด์ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและซื้อเพื่อปล่อยเช่าก็มีอยู่อย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมากทุกปี และเป็นกำลังซื้อที่มีอำนาจทางการเงินสูง ปัจจุบันราคาขายคอนโดฯในย่านสุขุมวิท อยู่ที่ประมาณ 256,000 บาท/ตารางเมตร ,ย่านหลังสวน เกือบ 300,000 บาท/ตารางเมตร และทำเลติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ราคากว่า 300,000 บาท/ตารางเมตร ขณะที่อัตราการดูดซับ คอนโดฯราคา 150,000-250,000 บาท/ตารางเมตร จะมีมากสุดถึง 70-80% ซึ่งผู้ประกอบการที่พัฒนาในทำเลดังกล่าวส่วนใหญ่จะเป็นรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังนั้นการแข่งขันในทำเลสุขุมวิทจึงสูงตามไปด้วย

 

 

สำหรับทำเลอโศก-พร้อมพงษ์ หากพิจารณาในแง่ของการลงทุนทั้งจากการปล่อยเช่าและการถือครองระยะยาว ทำเลดังกล่าวถือว่ามีศักยภาพในแง่การลงทุนสูงจากดีมานด์ใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้น ทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ย้ายมาอยู่อาศัยตามสถานที่ทำงาน โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นและชาวจีน ซึ่งมีสัดส่วนการอยู่อาศัยในทำเลนี้สูงถึง70-80% รวมไปถึงนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยจากสำรวจการเพิ่มขึ้นของราคา (Capital Gain)และอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Rental Yield) ของคอนโดมิเนียมในทำเลอโศก พบว่า ทำเลนี้มีอัตราการเพิ่มขึ้นของราคา (Capital Gain)อยู่ที่ประมาณ 6-10% ต่อปี และได้ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ประมาณ 4-6% ต่อปี

 

 

“ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาทำเลอโศก มีซัพพลายใหม่ประมาณ 4 โครงการ โดยทุกโครงการมียอดขายประมาณ 80-90%  และมีอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาปีละ 5-10% ซึ่งในปีนี้ทำเลดังกล่าวราคาขายคอนโดฯพุ่งสูงอยู่ที่ 250,000 บาท/ตารางเมตร  เนื่องจากที่ดินหายากและมีราคาแพง ดังนั้นโครงการคอนโดฯที่พัฒนาขึ้นมาจึงมีราคาแพงตามราคาที่ดิน”นายชนินทร์ กล่าว

 

 

และการรุกเข้ามาตลาดกทม.ของฮาบิแททฯในปีนี้ตามที่เคยประกาศไปแล้วนั้นจะเน้นทำเลย่านสุขุมวิทเป็นหลัก จำนวน 3 โครงการ มูลค่า 2,500 ล้านบาท จากแผนการเปิดตัวทั้งหมด 5 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยเริ่มจากโครงการ “วาลเด้น อโศก”(Walden Asoke)  ตั้งอยู่ซอยสุขุมวิท 23 บนพื้นที่ 220  ตารางวา เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ระดับลักชัวรี่สูง 7 ชั้น ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 31 –  65 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 5.9 – 11 ล้านบาท จำนวน 83 ยูนิต มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท ขณะนี้มียอดจองแล้วประมาณ 50% คาดว่าในวันพรีเซลวันที่ 24-25 มีนาคม 2561 จะสามารถทำยอดขายได้ 80%  ด้านการก่อสร้างจะเริ่มในไตรมาส4/2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปี 2563 

 

 

นอกจากนี้บริษัทฯยังได้ร่วมมือกับบริษัท นาสเกตรีเทล จำกัด ในการนำซอฟท์แวร์ เกี่ยวกับการให้บริการ“Walden Privilege” แท็บเล็ตอัจฉริยะ มาใช้ใน”วาลเด้น อโศก” เป็นโครงการแรกด้วย  ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการจับจ่ายของใช้ในซูเปอร์มาร์เก็ตให้ส่งตรงถึงลูกค้า โดยไม่บวกค่าบริการแต่อย่างใด  รวมไปถึงบริการแม่บ้านทำความสะอาด สั่งอาหาร และบริการชำระบิลต่างๆ ได้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัสอีกด้วย

 

ส่วนความคืบหน้าโครงการ “เลอรอย” (LEROY Ruamrudee) ในซอยร่วมฤดี มูลค่าโครงการ 250 ล้านบาท บ้านเดี่ยว ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ สูง 7 ชั้น ราคาประมาณ 108-120 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 250 ล้านบาท ขณะนี้มีลูกค้าคนไทยประมาณ 2 ราย สนใจซื้อทั้ง 2 อาคาร คาดว่าจะสามารถสรุปผลการเจรจาได้ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้

 

อย่างไรก็ตามในปี2561 นี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่3,000 ล้านบาท เติบโต 131% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามียอดขาย 1,298 ล้านบาท และสามารถมีรายได้จากค่าเช่าเพิ่มขึ้น 20% ในอีก 3 ปีข้างหน้านี้(2561-2563)  เพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ชื้อตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีโครงการที่พัฒนาแล้วรวม 11 โครงการ แบ่งเป็นโครงการเก่า 6 โครงการ  3,700 ล้านบาท และ 5 โครงการใหม่ปีนี้ 4,000 ล้านบาท