นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรมั่นใจภาพรวมตลาดอสังหาฯปี61โตอย่างน้อย 5% แน่ หวั่นผู้ประกอบการกลาง-เล็กเหนื่อย แบงก์ไม่ปล่อยสินเชื่อพัฒนาโครงการใหม่ ต้องเร่ขายของเก่าให้หมด  ด้านตลาดบ้านหรูยอดขายชะลอตัว 30% เชื่อ4-5 ปีEECมีความชัดเจน ราคาอสังหาฯไทยใกล้เทียบชั้นสิงคโปร์2-3 เท่า

 

 

 

นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาสแรกปี 2561 ว่า เติบโตขึ้น 5% อย่างแน่นอน แต่หากจะมีอัตราการเติบโตได้ 10% จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะภาพรวมตลาดไม่เติบโตมานานถึง 4 ปีแล้ว เนื่องจากตลาดภูมิภาคยังไม่ฟื้นตัวถึง 50% ส่งผลให้ภาพรวมตลาดไม่โตตามไปด้วย  ซึ่งการเติบโตเกิดขึ้นเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด ที่มีเงินทุนในการพัฒนาและเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง เรียกความสนใจจากผู้ซื้อ  ขณะที่ผู้ประกอบการรายกลาง-เล็ก ยังเหนื่อยซึ่งส่วนใหญ่เปิดขายแต่โครงการเก่า ไม่สามารถเปิดขายโครงการใหม่ได้ เพราะไม่มีแหล่งเงินพัฒนาโครงการ เนื่องจากสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อ จึงดึงดูดความสนใจจากลูกค้าได้น้อย สำหรับแนวโน้มตลาดบ้านหรูคาดว่าปีนี้ยอดขายจะชะลอตัวลง 30% เนื่องจากความต้องการในตลาดมีจำกัดและถูกดูดซับไปแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่บ้านระดับราคาปานกลางไม่เกิน 5 ล้านบาทยังเติบโตได้ดี

 

“ตลาดลักชัวรี่เพิ่งมาเติบโตในช่วงหลัง เพราะราคาที่ดินมีการปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเทียบกับประเทศสิงคโปร์ที่ราคาถูกกว่าประเทศไทยถึง 5 เท่าตัว หากโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)มีความชัดเจนภายใน4-5 ปีข้างหน้า ก็จะยิ่งทำให้ราคาอสังหาฯในประเทศไทยใกล้เคียงสิงคโปร์ได้2-3 เท่า”นายอธิป กล่าว

 

สำหรับคอนโดฯในทำเลดีๆนั้นมีการปรับตัวสูงขึ้นถึงปีละ 10% แต่ผลตอบแทนในการเช่ากลับตกลงมาเหลือ 4%ต่อปี จากที่ผ่านมาผลตอบแทนจะอยู่ที่ประมาณ 6%ต่อปี เชื่อว่าหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้การซื้อเพื่อปล่อยเช่าของนักลงทุนคงลดลงอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีผู้เช่าจากต่างชาติเข้ามามาก ดังนั้นหากซื้อคอนโดฯในพื้นที่ที่ต่างชาตินิยมอยู่อาศัยก็ยังสามารถซื้อลงทุนได้

 

ส่วนตลาดอสังหาฯของประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) พบว่าราคาซื้อขายมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก เนื่องจากมีโครงการใหม่ๆพัฒนาขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะประเทศกัมพูชา ที่จะมีอาคารสูงกว่าประเทศไต้หวันในอนาคตนี้ และราคาขายคอนโดฯสูงมากกว่า 100,000 บาท/ตารางเมตร ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับราคาขายสูงขึ้นตามไปด้วย

 

ส่วนโครงการ“ไทยแลนด์ริเวียร่า”(Thailand Riviera) ที่ภาครัฐกำลังให้การสนับสนุนในพื้นที่ 4 จังหวัดคือ เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพรและระนอง นั้น ตนยังไม่ค่อยให้ความสำคัญเร่งเข้าไปลงทุนมากนัก แต่หากโครงการดังกล่าวมีความชัดเจนเมื่อไหร่จึงค่อยพิจารณาอีกครั้ง ขณะนี้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะเน้นการลงทุนในพื้นที่แนวรถไฟฟ้าความเร็วสูงตามสถานีต่างๆ หรือพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มากกว่า เนื่องจากเริ่มมีความชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว