เจ.ดี.พูลส์ฯเผยมูลค่าตลาดรวมสระว่ายน้ำโต 5-8% พบกลุ่มธุรกิจครองส่วนแบ่งมากสุด 50% เร่งพัฒนาสระว่ายน้ำตอบโจทย์ผู้บริโภค ผลสำรวจพบ 4 ปัจจัยหลักคือสิ่งกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ล่าสุดเปิดตัว “คาร์ดิโอ พูล” สระว่ายน้ำไฟเบอร์กลาสคุณภาพสูง ราคาเริ่มต้นที่ 2 แสนบาท รับประกัน 15 ปี  คาดปีนี้แชร์ส่วนแบ่งตลาด 5% หรือ 200 ล้านบาทเศษ เป้ายอดขายแตะ 900 ล้านบาท

 

นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เจ.ดี.พูลส์ ผู้นำด้านอุตสาหกรรมสระว่ายน้ำในรูปแบบแฟรนไชส์แห่งแรกในประเทศไทย เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดสระว่ายน้ำในประเทศไทยว่า ตลาดสระว่ายน้ำมีความหลากหลายมากขึ้น  จากเดิมในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตลาดเฉพาะ และจับกลุ่มผู้มีรายได้สูงที่มีบ้านและพื้นที่ขนาดใหญ่ นิยมสร้างสระว่ายน้ำส่วนตัวภายในบ้าน เนื่องจากสระว่ายน้ำมีราคาแพง แต่ในปัจจุบัน ตลาดเปิดกว้างมากขึ้น เพราะราคาสระว่ายน้ำเริ่มมีราคาถูกลง ทำให้เกิดเซ็กเม้นต์ใหม่ๆ  ของตลาดสระว่ายน้ำ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย เช่นกลุ่มลูกค้าในธุรกิจท่องเที่ยว   โรงแรม  รีสอร์ท  กลุ่มลูกค้าบุคคลซึ่งมีไลฟสไตล์ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายและชอบกีฬาทางน้ำ ตลอดจนกลุ่มที่ต้องการสร้างสระว่ายน้ำเพื่อตอบสนองค่านิยมทางสังคม

 

จากความต้องการที่หลากหลาย และไลฟ์สไตล์ที่ต่างกันของผู้บริโภคในตลาด ทำให้เกิดเซกเมนต์ใหม่ๆ ในตลาดสระว่ายน้ำ ซึ่งมีราคาถูกลง ผู้บริโภคสามารถจับต้องผลิตภัณฑ์สระว่ายน้ำได้มากขึ้น  โดยเฉพาะหลังจากที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีในด้านการผลิต ทำให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนา และผลิตสระว่ายน้ำสำเร็จรูปแบบไฟเบอร์กลาส สระดีไซน์แบบสำเร็จรูป และ แบบไอพาแนลไลน์เนอร์พลู สระคอนกรีตผนังสำเร็จที่สร้างได้ตามแบบที่ต้องการ ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนสระว่ายน้ำกระเบื้อง รวมถึงนวัตกรรมสระว่ายน้ำใหม่ๆ ซึ่งช่วยให้พัฒนาสินค้ารูปแบบใหม่ที่ทำให้สระว่ายน้ำมีขนาดที่หลากหลาย สามารถติดตั้งในบ้านที่มีขนาดพื้นที่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ ส่งผลให้ปัจจุบันผู้บริโภคนิยมสร้างสระว่ายน้ำในบ้านเพิ่มมากขึ้น

 

 

ปัจจุบันตลาดรวมสระว่ายน้ำมีมูลค่าประมาณ 4,500 ล้านบาท สามารถแบ่งตลาดออกเป็น 3 เซกเมนต์ ใหญ่ๆ โดยแบ่งเกรดของสระว่ายน้ำ ซึ่งมีราคาขายเป็นตัวกำหนดนั้น แบ่งได้เป็น กลุ่มเอ สระว่ายน้ำราคาตั้งแต่ 800,000 บาทขึ้นไป มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 30%  และ กลุ่มบี สระว่ายน้ำราคา 500,000 -700,000 บาท มีส่วนแบ่งตลาด 40% ส่วนที่เหลืออีก30% นั้น เป็นกลุ่มซี ที่มีราคาอยู่ที่ 200,000-400,000 บาท  โดยเซกเมนต์ที่เริ่มมีการแข่งขันสูง และมีแนวโน้มอัตราการขยายตัวของตลาดมากที่สุดคือกลุ่มบีและซี ซึ่งเป็นกลุ่มสระว่ายน้ำขนาดกลางและขนาดพื้นที่จำกัดที่มีราคาประหยัด นับเป็นที่สนใจของผู้ประกอบการหน้าใหม่       โดยหลายๆ รายได้มีการนำเข้าสินค้าต้นทุนต่ำจากประเทศจีน และพบว่ามีการนำสระว่ายน้ำแบบชั่วคราวมาประยุกต์ติดตั้งและเคลมว่าเป็นแบบถาวร ทำให้พบปัญหาในเรื่องคุณภาพ  โครงสร้าง  การรั่วซึม อายุการใช้งาน และไม่มีการรับประกัน รวมไปถึงบริการหลังการขาย

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อแบ่งสัดส่วนตลาดสระว่ายน้ำออกตามกลุ่มลูกค้า จะพบตลาดใหญ่ที่สุด คือ ตลาดธุรกิจ ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าหลักคือ โรงแรม รีสอร์ท วิลล่า อพาร์ทเม้นท์ บ้านเช่า ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาด50%  ส่วนที่เหลือคือ ตลาดบุคคล 50% ซึ่งแบ่งย่อยออกได้เป็น กลุ่มบุคคลที่ซื้อเพื่อสะท้อนรสนิยมหรือฐานะทางสังคม 10%, กลุ่มบุคคลที่ซื้อให้ลูก-หลาน 10%, กลุ่มบุคคลที่ซื้อเพราะค่านิยม 10%, กลุ่มบุคคลที่ซื้อเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับบ้าน ซึ่งจะช่วยให้ขายได้ราคาสูงเมื่อขายต่ออีก 10%  ส่วนที่เหลืออีก 5 %คือ กลุ่มบุคคลที่ซื้อเพราะรักสุขภาพ ต้องการออกกำลังกายทางน้ำ และกลุ่มอื่นๆอีก 5%

 

นอกจากนี้จากการขยายตัวของความต้องการลูกค้า และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการเปิดกว้างของตลาด  โดยเฉพาะตลาดสระว่ายน้ำเกรดบีและซี  คาดว่าจะส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมสระว่ายน้ำในปี 2561 มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 5-8% จากมูลค่าตลาดรวม ทั้งนี้การเติบโตด้านมูลค่าตลาดอาจดูไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา เนื่องจากสระว่ายว่ายน้ำในปัจจุบันมีราคาถูกลง ดังนั้นแม้ว่าตลาดสระว่ายน้ำกลุ่มที่กล่าวมาจะมีการขยายตัวสูง จำนวนชิ้นที่ขายได้เพิ่มสูงขึ้น แต่ด้วยราคาที่ถูกลงทำให้มูลค่าตลาดรวมจึงไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก

 

จากการศึกษาพฤติกรรมและปัจจัยต่อการตัดสินใจซื้อสระว่ายน้ำไปจนถึงความต้องการของผู้บริโภคในตลาด พบว่าปัจจุบันพฤติกรรมการเลือกซื้อสระว่ายน้ำของผู้บริโภคจะสอดคล้องกับปัจจัยต่างๆ 4 ขั้นตอน คือ 1.ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต 2.เทรนด์การดูแลสุขภาพ 3.ขนาดที่ดินของบ้าน และ 4.ราคาสระว่ายน้ำ ซึ่งทุกส่วนมีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสระว่ายน้ำขนาดต่างๆ ที่เหมาะสมกับพื้นที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคและกำลังซื้อของแต่ละคน ปัจจัยดังกล่าวทำให้ เจ.ดี.พูลส์ ศึกษาและพัฒนาสระว่ายน้ำสำเร็จในรูปไฟเบอร์กลาส ด้วยการนำนวัตกรรมการออกกำลังกายมาผสมผสานการพัฒนาสระว่ายน้ำรุ่นใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคที่รักสุขภาพ และชื่นชอบการออกกำลังกายในน้ำ ภายใต้ชื่อ “คาร์ดิโอ พูล”ซึ่งเป็นสระไฟเบอร์กลาสคุณภาพสูง ที่ใช้วัสดุเคลือบผิวนำเข้าจากออสเตรเลีย โครงสร้างแข็งแรง รับประกัน 15 ปี มีทั้งหมด 6 ขนาด โดยทุกขนาดจะมีความกว้าง 2.20 เมตร ขนาดความยาวเริ่มต้นตั้งแต่ 3 เมตร ไปจนถึง 11 เมตร เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่มีขนาดพื้นที่อยู่อาศัยแบบจำกัด และมีกำลังซื้อที่แตกต่างกันออกไป  ราคาขายเริ่มต้นที่ 200,000 บาทขึ้นไป/ลูก และในปีนี้มีแผนเปิดโชว์รูป 2 แห่งคือที่ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา จากปัจจุบันที่มีทั้งหมด 21 โชว์รูม

 

 

“สระว่ายน้ำรุ่น ‘คาร์ดิโอ พูล’ เกิดจากพฤติกรรมของลูกค้า ที่ซื้อสระว่ายน้ำไปแต่ไม่ค่อยได้ใช้งาน บางกลุ่มซื้อสระว่ายน้ำเพื่อบ่งบอกรสนิยม ฐานะทางสังคม รวมถึงบางส่วนซื้อให้ลูกหลาน ทางบริษัทฯจึงเกิดแนวคิดการพัฒนาสินค้าสระว่ายน้ำเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการผนวกนวัตกรรมการออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพ ทั้งยังเน้นซอฟต์แวร์ในรูปแบบการให้คำแนะนำการใช้สระว่ายน้ำเพื่อออกกำลังกาย    โดยได้นำ ผศ.ดร.ประภาส   โพธิ์ทองสุนันท์  นักธาราบำบัดผู้เชี่ยวชาญ  มาเป็นที่ปรึกษาในการพัฒนาและจัดทำคู่มือเกี่ยวกับการออกกำลังกายในน้ำ  เพื่อให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์และยังเป็นการเปิดตลาดใหม่ สำหรับกลุ่มคนรักสุขภาพและต้องการดูแลสุขภาพของคนในครอบครัว” นายธนูศักดิ์ กล่าว

 

สำหรับกิจกรรมการตลาดปี 2561 หลังจากที่ทางบริษัทฯ  ได้มีการเปิดตัวสระว่ายน้ำรุ่น ‘คาร์ดิโอ พูล’ แล้ว จะมีการเปิดตัวหนังโฆษณา 3 เรื่อง คือ   ใคร ๆ ก็มีได้, ห่วงใย, เพ้อ  ตามลำดับ  เพื่อเน้นช่องทางการสื่อสารการตลาดในรูปแบบออนไลน์ และยังเตรียมเปิดตัวนวัตกรรมสระว่ายน้ำรูปแบบใหม่ ภายในงานสถาปนิก 61 ระหว่างวันที่ 1-6 พฤษภาคม 2561 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี    โดยคาดหวังส่วนแบ่งแชร์ในตลาดรวม 4,500 ล้านบาท อยู่ที่5% หรือ 200 ล้านบาทเศษ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ยอดขายของในปีนี้เติบโตตามเป้า โดยทางบริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายของ ‘คาร์ดิโอ พูล’ ในปีนี้ไว้ที่ 100 ลูก ทั้งนี้ในปี 2561 บริษัทฯ คาดว่าจะมียอดขาย 900 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดสระว่ายน้ำรวมอยู่ที่ 20% ซึ่งเติบโตขึ้น 12%นับจากปีที่ผ่านมา