หลังจากเข้ามาสู่ธุรกิจอสังหาฯของเอเวอร์แลนด์ ซึ่งถือหุ้นใหญ่โดยตระกูลวรวรรณ-โลจายะ ที่เหมือนจะเริ่มต้นได้ด้วยดี แต่ก็มาประสบกับสภาวะเศรษฐกิจในช่วงขาลง ส่งผลให้เอเวอร์แลนด์มีผลการดำเนินงานที่ขาดทุนมาต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาพัฒนาโครงการในรูปแบบคอนโดฯระดับราคาที่จับต้องได้ ส่วนใหญ่อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา  และแนวราบที่อยู่ในทำเลที่เด่น ขณะเดียวกันก็ขยายไลน์ไปธุรกิจโรงพยาบาลเพื่อสร้างรายได้เสริมด้วย

 


มั่นใจปลายปี61ผลกำไรพลิกฟื้น

นายสวิจักร์ โลจายะ ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด(มหาชน)หรือ EVERเปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯแนวราบในปี2561 ว่า กำลังซื้อยังมีอยู่แต่อุปสรรคของผู้ประกอบการยังมีปัญหาในเรื่องของการถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน (Reject) ซึ่งที่ผ่านมามีสูงถึง 50% เนื่องจากปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ แต่ในส่วนของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 25-50%  ทั้งนี้เนื่องจากที่ผ่านมาสภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัวและผู้บริโภคมีภาระที่เพิ่มขึ้น ทำให้ยอดขายที่อยู่อาศัยไม่ค่อยหวือหวามากเหมือนเช่นในอดีต แต่เชื่อว่าในปี 2561 นี้ภาพรวมเศรษฐกิจจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้น จากการลงทุนด้านระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐ การส่งออก และการท่องเที่ยว ส่งผลให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น คาดว่าปลายปีนี้จะเริ่มเห็นภาพอย่างชัดเจนขึ้น

 

ในปี2560 ที่ผ่านมาเอเวอร์แลนด์มีผลประกอบการขาดทุนกำไรมากกว่า 200 ล้านบาท อันเนื่องจากมีการลงทุนซื้อที่ดินไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายในการทำตลาด การก่อสร้าง รวมมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท แต่ในปี2561 นี้จะเริ่มทยอยโอนคอนโดมิเนียม “เดอะ โพลิแทน บรีซ” และจากโครงการแนวราบบางส่วน จึงเชื่อว่าในปลายปี2561 นี้ผลประกอบการของบริษัทจะพลิกฟื้นกลับมามีผลกำไรอย่างแน่นอน

 

ปรับแผนผุดแนวราบ4โครงการรวด

สำหรับการดำเนินการของบริษัทฯในปี2561 นี้ได้ปรับแผนหันมารุกเปิดโครงการแนวราบทั้งหมด รวมทั้งสิ้น 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2,000 ล้านบาท ได้แก่ บ้านเดี่ยว ย่านจตุโชติ บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ ภายใต้แบรนด์ “มายโฮม อเวนิว” ขนาดพื้นที่ 50 ตารางวา ราคา 3.5 ล้านบาท จำนวน 61 ยูนิต มูลค่าโครงการ 240 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 2561 นี้

 

ส่วนอีก 3 โครงการจะเป็นทาวน์โฮม ภายใต้แบรนด์ “เอเวอร์ซิตี้” ตั้งอยู่ในทำเล สุขสวัสดิ์,หนามแดง-วงแหวนและจตุโชติ ซึ่งแต่ละโครงการจะตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ ราคาขายตั้งแต่ 2.5-8 ล้านบาท ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

โดยสาเหตุที่บริษัทฯหันมาพัฒนาโครงการแนวราบเพิ่มมากขึ้นเพื่อเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงและดีมานด์ที่ซื้อก็อยู่อาศัยจริง อีกทั้งยังใช้ระยะเวลาการก่อสร้างน้อยกว่าคอนโดฯ คือเพียง 7-8 เดือน ก็สามารถส่งมอบให้ลูกค้าและรับรู้รายได้ได้ทันที ขณะที่คอนโดฯหากเป็นอาคารสูงจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างถึง 3 ปีกว่าจะรับรู้รายได้ ส่วนอาคารที่สูงไม่เกิน 8 ชั้นก็ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง 1-2 ปี

 

เน้นทำเลคู่แข่งน้อย-แต่มีดีมานด์

สำหรับการพัฒนาคอนโดฯยังไม่ถึงกับชะลอการพัฒนา แต่ด้วยปัจจุบันในกทม.มีการแข่งขันที่สูงมากผู้ประกอบการจึงค่อนข้างเหนื่อยในการทำตลาด ดังนั้นแนวทางการพัฒนาของบริษัทจะเน้นในพื้นที่ๆมีการแข่งขันน้อย แต่มีดีมานด์ เช่น พื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทำเลนนทบุรี ปัจจุบันบริษัทฯยังมีแลนด์แบงก์เหลือการพัฒนาได้อีกประมาณ 2 เฟสๆละ 1 อาคาร โดยที่ผังเมืองใหม่นนทบุรี จะไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด เพราะผ่านการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

ทั้งนี้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯได้เปิดการขายคอนโดฯมาทั้งสิ้น 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 15,400 ล้านบาท คือ 1.โครงการ “เดอะ โพลิแทน ริฟ” เป็นคอนโดฯ สูง 57 ชั้น จำนวน 2,351 ยูนิต ราคาเฉลี่ยประมาณ 80,000 บาท/ตารางเมตร มูลค่าโครงการประมาณ 6,500 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 5,000 ล้านบาท หรือประมาณ 90% คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรกปี 2562

 

2.โครงการ “เดอะ โพลิแทน บรีซ”เป็นคอนโดฯสูง 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 587 ยูนิต ราคาเฉลี่ยประมาณ 80,000 บาท/ตารางเมตร  มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้วประมาณ 1,000 ล้านบาท หรือ 50-60%ด้านการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3/2561 และจะเริ่มโอนในเดือนธันวาคม 2561

 

และ3.โครงการ”เดอะ โพลิแทน อควา” เป็นคอนโดฯ สูง 61 ชั้น จำนวน 2,741 ห้อง ราคาขายเฉลี่ยกว่า 80,000 บาท/ตารางเมตร  มูลค่าโครงการประมาณ 7,000 ล้านบาท ล่าสุดมียอดจองแล้ว 3,400 ล้านบาท หรือ 52%
คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/2563 และพร้อมโอนในเดือนสิงหาคม2563

 

อย่างไรก็ตามจากการที่ในช่วง2-3 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการรายใหญ่ต่างหันไปร่วมทุนกับพันธมิตรไทย-ต่างชาติ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้องค์กร เพิ่มเทคโนโลยีที่ทันสมัยและขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งในส่วนของเอเวอร์แลนด์นั้น ยังไม่มีความสนใจที่จะร่วมทุนกับพันธมิตรแต่อย่างใด เพราะยังไม่ชินที่จะมีผู้ร่วมทุน คงต้องรอให้มีการขยายโครงการมากกว่านี้ก่อน จึงค่อยนำกลับมาพิจารณนาอีกครั้ง คาดว่าคงต้องนำกลับมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง

 

เทงบปรับปรุงรพ.บริการครบวงจร

สำหรับธุรกิจโรงพยาบาลที่เอเวอร์แลนด์ได้เข้าไปลงทุนและดำเนินการ ซึ่งปัจจุบันมี 4 แห่งคือ1.บริษัท โรงพยาบาลเชียงใหม่ ราษฎร์ จำกัด (CMR) เจ้าของโรงพยาบาลสยามราษฎร์ ที่ผ่านมาสร้างรายได้ให้บริษัทแล้วเฉลี่ยปีละ 100 ล้านบาท ในอนาคตต้องการขยายเตียงจาก 50 เตียง เป็น 100 เตียง หลังวางแผนจะเพิ่มบริการใหม่ๆ เช่น สร้างศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ เป็นต้น ปัจจุบันยังคงอยู่ในช่วงของการศึกษาและหาผู้รู้มาร่วมทำงาน ซึ่งแผนงานนี้อาจอยู่ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

 

“หากผลการศึกษาศูนย์ดูแลผู้สูงอายุออกมาคุ้มค่า อาจเห็นเราชิมลางในจังหวัดเชียงใหม่ก่อนก็เป็นได้ เพราะบริษัทมีที่ดินเปล่าในอำเภอแม่ริม 170 ไร่ ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยและศูนย์คนสูงอายุได้ไม่ยาก”นายสวิจักร์ กล่าว

 

2.บริษัท เดนทอล อิส ฟัน จำกัด (DENTAL) ดำเนินธุรกิจสถานพยาบาล สถานทันต กรรม และสถานฟื้นฟูบำบัดผู้เจ็บป่วยเป็นโรคทุกชนิด จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ชื่อ คลินิก จัส ฟอ ฟัน

 

3.บริษัท โคราชเมดิคัลกรุ๊ป จำกัด (KMG) ผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนสถานพยาบาลรับรักษาคนไข้และผู้เจ็บป่วย จังหวัดนครราชสีมา ภายใต้ชื่อ โรงพยาบาลโคราชเมโมเรียล ปัจจุบันมีทั้งหมด 35 เตียง

 

และ 4.บริษัท พิษณุโลกอินเตอร์เวชการ จำกัด (PM) เจ้าของโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 100 เตียง ที่ผ่านมาโรงพยาบาลโคราช เมโมเรียล และโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ สร้างรายได้ให้บริษัทแล้วเฉลี่ยปีละ 200 ล้านบาทต่อแห่ง

 

“ช่วงนี้เราได้มีการปรับปรุงองค์กรและอุปกรณ์ในโรงพยาบาลในเครือให้มีความทันสมัยมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาทั้ง 4 แห่ง เราไปเทกโอเวอร์มาทั้งหมด และเป็นเพียงโรงพยาบาลเอกชนขนาดเล็ก ดังนั้นจึงต้องมีการปรับปรุงให้ครบวงจร ซึ่งอาจจะหันมาเจาะตลาดนิชมาร์เก็ตมากขึ้น ซึ่งแต่ละแห่งจะใช้งบในการรีโนเวทประมาณ 50 ล้านบาท ขณะนี้ได้เริ่มทยอยดำเนินการแล้ว”นายสวิจักร์ กล่าว

 

นายสวิจักร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ธุรกิจหลักของเอเวอร์แลนด์ ยังคงเป็นอสังหาริมทรัพย์ แต่ธุรกิจโรงพยาบาล หากมีจังหวะและโอกาสเข้าไปลงทุนอีกก็พร้อมเช่นกัน แต่คงเน้นจังหวัดที่เป็นหัวเมืองใหญ่  เพราะการลงทุนแต่ละแห่งจะใช้เม็ดเงินที่สูง

 

ปัจจุบันเอเวอร์แลนด์ ยังมีที่ดินสะสมในย่านสุวินทวงศ์อีกประมาณ 15 ไร่ ,อำเภอศรีราชา 6 ไร่ และอ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ อีก170 ไร่ ซึ่งคงต้องรอจังหวะและโอกาสที่จะนำมาพัฒนา

 

อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯจะรับรู้รายได้จากโครงการอสังหาฯประมาณ 1,200-1,400 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจโรงพยาบาลอีกประมาณ 500 ล้านบาท คาดว่าภายในระยะเวลา 2-3 ปีนี้สัดส่วนรายได้ระหว่างโครงการแนวราบและแนวสูงจะขึ้นมาอยู่ที่ 50:50