อารียาฯ ส่งสัญญาณเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูส สูง 50-60 ชั้นบนที่ดิน AUAA เก่า ไตรมาส 2/62 แน่ ครึ่งปีหลังผุด 8 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 7,275 ล้านบาท   พร้อมปรับแผนการขายเน้นลูกค้าต่างชาติมากขึ้น คาดยอดขายรวมปี 61 แตะ 10,000 ล้านบาท มั่นใจรายได้โต10%

นายวิศิษฎ์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ A เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 ว่า จะมีการเติบโตดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก จากการที่เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตขึ้น การลงทุนภาครัฐเริ่มมีการลงทุนอย่างชัดเจน และหนี้สินครัวเรือนที่มีแนวโน้มลดลง แต่การแข่งขันของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยังคงแข่งขันมากขึ้น จากการเปิดโครงการที่ออกมามากต่อเนื่อง โดยตลาดที่ต้องระมัดระวังคือ คอนโดมิเนียม ที่มีการเปิดโครงการออกมามาก และมีความต้องการซื้อในตลาดที่ผันผวน ทำให้มีความเสี่ยงสูงมากในการเปิดตัวโครงการในช่วงนี้ ซึ่งจะต้องมีการวิเคราะห์ทำเลที่จะเปิดอย่างระมัดระวังและรอบคอบ ส่วนโครงการแนวราบยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการซื้อที่ยังมีสูงต่อเนื่อง โดยทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ยังเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบ ในสัดส่วน 60-70% และคอนโดมิเนียม สัดส่วน 30%

 

สำหรับความคืบหน้าการเช่าที่ดินสมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกาในพระบรมราชูปถัมภ์ (AUAA) ย่านราชดำริ ที่ได้รับความเห็นชอบจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเดิมคือสำนักงานพระคลังข้างที่ บนที่ดิน 5 ไร่เศษ สัญญา 30 ปีบวกการก่อสร้าง 4 ปีนั้น ปัจจุบันกรรมสิทธิ์ที่ดินอยู่ในอำนาจการบริหารโดยสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อสัญญาแต่อย่างใด แต่แนวเขตที่ดินมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย จึงต้องมีการปรับรูปแบบใหม่ ซึ่งที่ผ่านมามีการปรับรูปแบบไปแล้ว 3 รอบ คาดว่าจะสรุปแบบทั้งหมดภายในระยะเวลา 2 เดือน โดยสัญญาการเช่าที่ดินจะเริ่มเมื่อมีการตอกเสาเข็ม

 

ในเบื้องต้นจะมีทั้งคอนโดฯ,โรงแรม ระดับ ดาวและพื้นที่ในรูปแบบโค-เวิร์คกิ้งสเปซ (co-working space) สูงประมาณ 50-60 ชั้น รวมมูลค่าโครงการประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งผ่านการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) มา 2 ปีแล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ และกำหนดราคาขาย คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 300,000 บาท/ตารางเมตร และจะใช้โบรกเกอร์ในการขายประมาณ 3-4 ราย คาดว่าจะเปิดการขายในส่วนของคอนโดฯ ได้ในไตรมาส 2/2562 อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวอาจจะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตร ซึ่งที่ผ่านมามีเข้ามาเจรจาทั้งคนไทยและต่างชาติ อาทิ จีน ญี่ปุ่น แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

 

ทั้งนี้ในครึ่งปีหลัง 2561 นี้บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวใหม่อีก 8 โครงการ รวมมูลค่า 7,275 ล้านบาท  แบ่งเป็นไตรมาส 3/2561 เปิดตัว 4 โครงการ ซึ่งเป็นโครงแนวราบทั้งหมด มูลค่าโครงการรวม 1,920 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ The Village บางนา, โครงการ The Colors บางนา และบางบัวทอง และโครงการ Busaba บ้านเดี่ยวแห่งเดียวติดถนนเสรีไทย

 

ส่วนในไตรมาส 4/2561 จะเปิดโครงการใหม่อีก 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5,350 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ 3 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ ได้แก่ โครงการ Mandarina เกษตร–รามอินทรา, โครงการ The Parti เกษตร–นวมินทร์ และโครงการ COMO PRIMO บางนา และโครงการคอนโดมิเนียม A Space Mega บางนา 2 โดยที่บริษัทคาดว่าโครงการคอนโดมิเนียม A Space Mega บางนา 2 มูลค่า 2,500 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท จะได้รับการตอบรับจากลูกค้า ซึ่งบริษัทมีลูกค้าที่ลงชื่อจองโครงการไว้แล้ว และคาดว่าจะขายหมดในช่วงสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า ทำให้บริษัทมีความมั่นใจอย่างมากที่จะทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ปรับแนวทางการขายโครงการประเภทคอนโดมิเนียมด้วยการหันมาขายให้กับลูกค้าชาวต่างชาติมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นชาวฮ่องกง และจีน ซึ่งเป็นการขายที่บริษัทขายเอง และขายผ่านเอเจนซี่ โดยเฉพาะโครงการ A Space Mega โครงการแรก มีสัดส่วนการจองซื้อของลูกค้าต่างชาติเต็มโควตา 49% และคาดว่าโครงการ A Space Mega 2 จะมียอดจองจากลูกค้าต่างชาติเต็มจำนวนเช่นเดียวกัน อีกทั้งการขายให้กับลูกค้าต่างชาติยังมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าการขายให้กับลูกค้าในประเทศ โดยที่การขายให้กับลูกค้าต่างชาติให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 40% และเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยเป็น 36-37% จากปีก่อนที่ 35%

อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯ ได้ตั้งเป้ายอดขายในช่วงครึ่งปีหลังที่ 5,045  ล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกทำยอดขายแล้ว 4,852 ล้านบาท คาดว่าทั้งปีจะสามารถทำยอดขายรวมได้ 10,000 ล้านบาท  ด้านรายได้มั่นใจว่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย 10% จากปีก่อน 5,000 ล้านบาท แม้ว่ารายได้ในครึ่งปีแรกของบริษัทจะยังไม่สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย แต่เชื่อว่าในครึ่งปีหลังรายได้จะเติบโตมากขึ้นกว่าครึ่งปีแรก เพราะบริษัทเริ่มหันมาระบายสต็อกโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมโอนมากขึ้น ซึ่งมีสต็อกอยู่ที่ 2,600 ล้านบาท โดยจะระบายออกไปในครึ่งปีหลัง 1,000 ล้านบาท และจะระบายออกไปทั้งหมดในช่วงต้นปี 2562 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการขายให้กับลูกค้าต่างชาติ อีกทั้งจะมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่จะทยอยโอนในช่วงครึ่งปีหลังอีก 700-800 ล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่ทั้งหมด 4,200-4,300 ล้านบาท โดยที่ Backlog ส่วนใหญ่จะไปโอนในช่วงปลายปี 2562