ชีวาทัยฯปรับโครงสร้างองค์กรสร้างความแกร่งรับมือความท้าทายปี’62 เปิดแผนปีหมูผุด 10 โครงการ มูลค่ารวม 14,151 ล้านบาท ทั้งขยายฐานแนวราบตลาดตจว.ร่วมทุนพันธมิตรกระจายความเสี่ยง เล็งซื้อโรงงานใหม่พื้นที่EEC สร้างรายได้ระยะยาว  ตั้งเป้ารายได้รวมในปีนี้แตะ 2,880 ล้านบาท เติบโต 7.60%

 

 

นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เปิดเผยว่า ในปี 2562 เป็นปีแห่งความท้าทายจากหลายปัจจัยลบ ทั้งมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value :LTV) ที่จะต้องศึกษา วิเคราะห์ลูกค้าว่าจะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง ซึ่งบริษัทฯโชคดีที่สินค้าส่วนใหญ่จะขายในระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท และลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเป็นบ้านหลังแรก ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น ก็จะส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้นด้วยเช่นกัน  ด้านสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน อาจจะมีผลกระทบเล็กน้อย แต่โดยภาพรวมมองว่าในไตรมาส 1/2562 นี้ตลาดอสังหาฯยังทรงตัว ทั้งนี้ต้องรอดูสถานการณ์ในช่วงไตรมาส 2/2562 หลังการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 และมาตรการ LTV มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2562 นี้   ขณะเดียวกันบริษัทฯก็จะให้ความสำคัญในการปรับปรุงโครงสร้างองค์กรให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย

 

“ตั้งแต่เปิดช่วงไตรมาส 1/2562 จนถึงปัจจุบัน ยังไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV ใหม่ เห็นได้จากยอดขายที่ยังคงปกติ และจากการสอบถามลูกค้าไม่มีความกังวลในการตัดสินใจซื้อ เราจึงมั่นใจว่าลูกค้าเราไม่รับรับผลกระทบ” นายบุญ กล่าว

 

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2562 จะเปิดตัวใหม่รวม 10 โครงการ มูลค่ารวม 14,151 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 5 โครงการ ได้แก่

1. โครงการชีวาโฮม สุขสวัสดิ์-ประชาอุทิศ มูลค่าโครงการ 890 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวประมาณไตรมาส1/2562 ,

2.โครงการชีวาวัลย์ ปิ่นเกล้า-สาทร ซึ่งเป็นแบบ Luxury มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวประมาณไตรมาส 2/2562

3. ชีวารมย์ นครอินทร์ มูลค่าโครงการ 1,593 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวประมาณไตรมาส4/2562

นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน เพื่อเปิดโครงการใหม่สำหรับทาวน์โฮมอีก 2 โครงการ มูลค่าโครงการละ 700 ล้านบาท

 

 และโครงการแนวสูงบริษัทยังวางแผนเปิดอีกจำนวน 3 โครงการ ได้แก่

1.ชีวาทัยเกษตร-นวมินทร์ มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวโครงการประมาณไตรมาส2/2562

2. ฮอลล์มาร์คโชคชัย4 ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 2,011 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวโครงการประมาณ 2/2562

3.ชีวาทัยปิ่นเกล้า มูลค่าโครงการ 1,587 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวประมาณไตรมาส 3/2562

 

อีกทั้งบริษัทจะเปิดโครงการร่วมทุนอีก 2 โครงการ ได้แก่

1.ฮาร์ท สุขุมวิท 36 ซึ่ง ชีวาทัย มีการถือหุ้นอยู่ที่  70% โดยมีมูลค่าโครงการ 270 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดโครงการในช่วงไตรมาส 4/2562 และ

2. กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง ที่ชีวาทัย มีการถือหุ้นอยู่ที่  25 % มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการรออนุมัติการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)

`

โดยในปีนี้บริษัทยังมีแผนที่จะขยายฐานตลาดแนวราบไปยังต่างจังหวัดทั้งหัวเมืองหลัก และหัวเมืองรองด้วย เพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งจะเน้นการร่วมทุนกับพันธมิตรในท้องถิ่นเป็นหลัก โดย CHEWA จะถือหุ้นมากกว่า 60% ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาประมาณ 2-3 ราย ทั้งในพื้นที่ภาคอีสานและภาคใต้ คาดว่าในปีนี้จะมีความชัดเจน 1 จังหวัด แต่หากจังหวัดไหนที่เป็นพื้นที่ไม่ไกลจากกทม.บริษัทฯก็จะลงทุนเอง เช่น พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น

 

“นับจากเริ่มเข้ามาดำเนินธุรกิจจนปัจจุบันทำให้เราพัฒนาโครงการมาแล้วรวม 23 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 23,544 ล้านบาท โดยปิดการขายไปแล้ว 7 โครงการ อยู่ระหว่างการขาย 3 โครงการ และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 4 โครงการ”นายบุญ กล่าว

 

นอกจากนี้ ในปี 2562 จะเห็นการลงทุนซื้อโรงงานที่มีผู้เช่าแล้ว จำนวน 1 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ( Eastern Economic Corridor:EEC) มูลค่าประมาณ 250 ล้านบาท  ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจา คาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ในช่วงไตรมาส 1/2562 ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีโรงงานให้เช่าแล้ว จำนวน 10 แห่ง ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดระยอง ขนาดพื้นที่เช่ารวม 2,000-2,500 ตารางเมตร ปัจจุบันมีอัตราการเช่า (OCC) แล้ว 50-60% โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายจะเพิ่มอัตราการเช่าเป็น 80% และจะลงทุนสร้างโรงงานใหม่เพิ่มอีก 4 แห่งในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งมีที่ดินรองรับแล้วทั้งหมด โดยธุรกิจดังกล่าวจะช่วยสร้างรายได้ระยะยาวให้กับบริษัทฯ

 

 

นายบุญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2562 บริษัทตั้งงบลงทุนรวมไว้ที่ 5,191 ล้านบาท ใช้ซื้อที่ดิน จำนวน 3,261 ล้านบาท และใช้งบก่อสร้างและพัฒนาที่ดิน จำนวน 1,930 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ระดับ 1.42 เท่า ส่วนที่เหลือจะมาจากกระแสเงินสดในมือ  โดยบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมในปี 2562 ไว้ที่ 2,880 ล้านบาท เติบโต 7.60% จากปีก่อน โดยสัดส่วนรายได้จะมาจากโครงการคอนโดมิเนียม 1,664 ล้านบาท คิดเป็น 58% และมาจากโครงการแนวราบ 1,216 ล้านบาท คิดเป็น 42%

 

ล่าสุดบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวม 585 ล้านบาท  โดย Backlog ดังกล่าว แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม มูลค่า 406 ล้านบาท และโครงการแนวราบ มูลค่า  179 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ภายในปี 2562 ทั้งหมด ทั้งนี้ ในช่วงปลายปี 2562 จะมีโครงการคอนโดมิเนียมเสร็จใหม่ จำนวน 1 โครงการ มูลค่าโครงการ 430 ล้านบาท คือโครงการ Hallmark Charan 13 นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าพร้อมโอน (สต๊อก) ในมือมูลค่ารวมกว่า 755 ล้านบาท จาก 3 โครงการที่สร้างเสร็จแล้ว โดยในช่วงไตรมาส 1/2562 บริษัทเน้นเร่งความถี่โฆษณา ก่อนบังคับใช้มาตรการLTVใหม่ ด้วยการออกแคมเปญทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ