แอสเสท เวิร์ดฯหลังลงนามสัญญาจัดจำหน่ายหุ้น IPO มูลค่า 48,000 ล้านบาท  พบนักลงทุนไทย-เทศสนใจจองซื้อหุ้นดีเกินคาด สวนกระแสความผันผวนตลาด เตรียมนำเงินระดมทุนต่อยอดกลุ่มธุรกิจในเครือ หวังสร้างการเติบโต เพิ่มผลตอบแทนผู้ถือหุ้น
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า  บริษัทฯได้มีการลงนามในสัญญาจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) มูลค่า 48,000 ล้านบาท  ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของกระบวนการเสนอขายหุ้นสามัญที่มีมูลค่าสูงที่สุดที่เคยมีมาในประเทศไทย โดยได้จัดสรรหุ้นทั้ง 8,000 ล้านหุ้น ให้กับนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและในต่างประเทศ รวมถึงนักลงทุนรายย่อยในประเทศ โดยสัดส่วนระหว่างนักลงทุนในต่างประเทศและนักลงทุนในประเทศคิดเป็น ร้อยละ 53 และ 47 ตามลำดับ นอกจากนี้การเสนอขายหุ้น IPO ของ AWC ในครั้งนี้ นับเป็นการเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา และด้วยมูลค่าเสนอขายดังกล่าว เป็นผลให้ AWC มีโอกาสได้รับการจัดเข้าไปรวมอยู่ในดัชนี SET50 ด้วยเกณฑ์ในแบบ Fasttrack

“จากที่แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น ได้เปิดจองซื้อหุ้นสามัญสำหรับนักลงทุนรายย่อยในประเทศไทยระหว่างวันที่ 25 – 27 กันยายน 2562 พบว่านักลงทุนรายย่อยในประเทศไทยให้ความสนใจจองซื้อหุ้น AWC เป็นจำนวนมาก ท่ามกลางสภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่มีความผันผวน สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานที่มีความแข็งแกร่ง และความสามารถในการสร้างความเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ผลการสำรวจความต้องการจองซื้อหุ้นของนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) ยังแสดงให้เห็นถึงความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ” นางวัลลภา กล่าว

ในการนี้ บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายและสัญญาซื้อขายหุ้นเบื้องต้นในต่างประเทศ โดยมีผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ,บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ,บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) และมีผู้ซื้อหุ้นเบื้องต้นในต่างประเทศ (Initial Purchasers) ได้แก่ Merrill Lynch (Singapore) Pte. Ltd. Morgan Stanley & Co. International plc. และ UBS AG, Singapore Branch โดย AWC เตรียมพร้อมเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในต้นเดือนตุลาคม 2562

“แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านทั้งนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศที่ให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพของ AWC ในฐานะบริษัทพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในเครือ TCC Group ที่มุ่งเน้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบครบวงจรในประเทศไทย ด้วยพอร์ตโฟลิโอการลงทุนที่หลากหลายในทำเลที่ดีเยี่ยม และร่วมลงทุนใน AWC อย่างคึกคัก แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จะมุ่งมั่นต่อยอดความสำเร็จทางธุรกิจด้วยคุณค่าที่ยั่งยืนในระยะยาวเพื่อให้บรรลุความตั้งใจของบริษัทฯ ที่จะสร้างโอกาสให้นักลงทุนมีโอกาสได้เป็นเจ้าของธุรกิจพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพ และเติบโตต่อยอดความสำเร็จไปด้วยกันอย่างยั่งยืน” นางวัลลภา กล่าว

ทั้งนี้บริษัทฯจะนำเงินที่ระดมทุนได้ในครั้งนี้ ไปต่อยอดทั้งสินทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) และกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial Building)  ผ่านการเข้าซื้อกิจการที่เป็นเจ้าของของทรัพย์สินตามสัญญาซื้อขายหุ้นปี 2562 ซึ่งจะเป็นโครงการใหม่ ๆ ที่เข้ามาเสริมในพอร์ตฟอลิโอของ AWC หลังการทำ IPO รวมทั้งนำไปลงทุนพัฒนาและปรับปรุงทรัพย์สินของบริษัทฯ และ/หรือ บริษัทย่อย และ/หรือ ทรัพย์สินที่จะได้มาเพิ่มเติมตามสัญญาซื้อขายหุ้นปี 2562 เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนให้บริษัทฯและผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น นอกจากนี้บางส่วนจะใช้ในการชำระคืนเงินกู้ยืมเพื่อลดต้นทุนทางการเงิน และเพื่อประโยชน์ในการบริหารเงิน (Treasury Management) ของบริษัทฯ

โดย แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40.0 ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติตามงบการเงินรวมของบริษัทฯ หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหลังหักเงินสำรองต่าง ๆ ตามที่กฏหมายและบริษัทฯ กำหนดไว้ในแต่ละปี โดยเงินปันผลที่จ่ายจะไม่เกินกว่ากำไรสะสมของงบการเงินเฉพาะกิจการ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการอาจกำหนดการจ่ายเงินปันผลและอัตราการจ่ายปันผลที่แตกต่างไปจากอัตราที่กำหนดนี้ไว้ได้ โดยคำนึงถึงผลการดำเนินงาน ฐานะทางการเงิน กระแสเงินสด เงินทุนหมุนเวียน และแผนการลงทุนและการขยายธุรกิจ สภาพตลาด ภาระหนี้สิน เงื่อนไขและข้อจำกัดตามที่กำหนดไว้ในสัญญากู้ยืมเงิน และความเหมาะสมอื่น ๆ ในอนาคตของบริษัทฯ รวมทั้งความจำเป็น ตลอดจนปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งคณะกรรมการบริษัทพิจารณาเห็นสมควร

อ้างอิง :ข้อมูลจากหลักเกณฑ์การจัดทำดัชนีของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่องการเปลี่ยนแปลงรายชื่อหลักทรัพย์ระหว่างรอบ เกี่ยวกับหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนใหม่ (New Issue) โดยหากหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนใหม่เป็นหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ (เช่น เป็นหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดมากกว่าร้อยละ 1 ของมูลค่าตลาดรวมของหลักทรัพย์ที่รวมในการคำนวณ SET Index หรือคาดว่าจะมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ในช่วง 20 ลำดับแรกของหลักทรัพย์ในดัชนี SET50 / ดัชนี SET100) ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะนำหลักทรัพย์ดังกล่าวมารวมในการคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 โดยจะประกาศให้ผู้ลงทุนทราบล่วงหน้าเป็นการทั่วไปโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะนำหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) น้อยที่สุดออกจากการคำนวณดัชนีและนำไปอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์สำรอง (Reserve List) แทนและนำหลักทรัพย์ที่เข้าใหม่ข้างต้น รวมในการคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 ในวันทำการที่ 3 (T+3) นับจากวันที่มีการซื้อขายเป็นวันแรก (T)

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*