“ไพโรจน์ วัฒนวโรดม” เผยแลนด์ลอร์ดสนนำที่ดินร่วมทุนผุดแนวราบหลายราย เปิดแผนธุรกิจเน้นนำที่ดินพันธมิตรร่วมทุนผุดแนวราบปีละ 3-4 โครงการ มูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท  ลดความเสี่ยง ล่าสุดกลุ่มพันธมิตรย่านสมุทรปราการ นำที่ดินย่านบางนา กม.31 ผุดทาวน์โฮม แบรนด์ “นิวบุรี”หวังชิงส่วนแบ่งตลาดบ้านราคา 2-3 ล้านบาท  มั่นใจสินค้าตอบโจทย์  ทั้งลูกค้าพื้นที่ปริมณฑล-ตจว. ดึงเป็นที่ปรึกษา-บริหารโครงการแนวราบ หวังดันยอดขายพุ่ง
นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม  ประธานกรรมการเจ้าหน้าที่และผู้ก่อตั้ง บริษัท แมทซ์ไทม์ พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนท์  จำกัด อดีตผู้บริหารจากบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH และบริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)หรือ JSP  เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 25 ปี บริหารโครงการแบบครบวงจรมากกว่า 100 โครงการ ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล และต่างจังหวัด จึงได้ก่อตั้งบริษัท แมทซ์ไทม์ พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด ขึ้นมาเมื่อปลายเดือนกันยายน 2561 ที่ผ่านมา เพื่อดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ทั้งในรูปแบบของการเป็นที่ปรึกษาโครงการตั้งแต่เริ่มหาที่ดินจนถึงบริหารการขาย และการร่วมทุนกับแลนด์ลอร์ดทำเลต่างๆในการพัฒนาโครงการ ระดับราคา 2-3 ล้านบาท ขณะนี้มีแลนด์ลอร์ดหลายราย สนใจที่จะนำที่ดินมาร่วมทุนกับตนและพัฒนาร่วมกัน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่แนวทางการดำเนินธุรกิจของตนวางแผนที่จะพัฒนาโครงการในรูปแบบของการร่วมทุนกับเจ้าของที่ดินปีละประมาณ 3-4 โครงการ มูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท

ล่าสุดได้ร่วมทุนกับแลนด์ลอร์ดที่มีที่ดินสะสมย่านสมุทรปราการเป็นจำนวนมาก ก่อตั้งบริษัท ศศิภัทร เฮ้าส์ จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท โดยทั้ง 2 ฝ่ายถือหุ้นในสัดส่วนที่เท่ากันคือ 50:50 นำที่ดิน ย่านบางนา-ตราด กม.31 (ถนนเทพรัตน) พื้นที่ 10 ไร่ ขึ้นมาพัฒนาโครงการทาวน์โฮม ระดับ 5 ดาว ภายใต้แบรนด์ “นิวบุรี” (NEWBURY) ขนาดตั้งแต่ 18-22 ตารางวา ราคา 1.99-2.2 ล้านบาท จำนวน 109 ยูนิต มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาทขึ้นไป  คาดว่าจะสามารถเปิดการขายได้ประมาณเดือนมิถุนายน 2563

ทั้งนี้ในทำเลดังกล่าวที่ผ่านมามีซัพพลายประมาณ 4,000 ยูนิต จาก 15 โครงการ ซึ่งมีทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่ รายกลาง และรายเล็ก แต่จากข้อมูลพบว่าทำเลดังกล่าวมีดีมานด์มากเป็นอันดับ 2 ใน 5 ทำเลท็อปฮิต โดยมียอดขายประมาณเดือนละ 300-400 ล้านบาท  และส่วนใหญ่ปิดการขายภายในระยะเวลา 11 เดือน ดังนั้นจึงมั่นใจว่าโครงการที่จะพัฒนามีดีมานด์รองรับอย่างแน่นอน และบริษัทฯเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า เพราะจะพัฒนาในรูปแบบของบ้านพร้อมอยู่ ที่เน้นในเรื่องของดีไซน์ และโนว์ฮาว จึงเชื่อว่าจะตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี่

ด้วยทำเลที่ตั้งโครงการนั้นอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ และในอนาคตจะมีโครงการขนาดใหญ่จากหลากหลายธุรกิจเกิดขึ้นอีกมาก นั่นหมายถึงว่าจะมีดีมานด์เข้ามาทำงานและมองหาที่พักอาศัยในทำเลดังกล่าวมากขึ้น และด้วยเซกเมนต์ 2-3 ล้านบาทนั้น ดีมานด์กลุ่มนี้จะไม่คำนึงถึงแบรนด์สินค้ามากนัก แต่จะคำนึงถึงดีไซน์ วัสดุก่อสร้าง และราคาที่ตอบโจทย์มากกว่า

“ส่วนเรื่องยอด Reject เราไม่ค่อยหวั่นมากนัก เพราะเราจะสกรีนลูกค้า ร่วมกับสถาบันการเงินด้วย รวมไปถึงลูกค้าที่ซื้อบ้านจะต้องวางเงินจอง 5,000 บาท และเงินทำสัญญา 10,000 บาท  ประกอบกับดีมานด์กลุ่มนี้มักจะเป็นเรียลดีมานด์ เชื่อว่าโอกาสที่จะเกิดยอดReject น้อยมาก” นายไพโรจน์ กล่าว

นายไพโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ยังมีเจ้าของที่ดินในทำเลศักยภาพใน จ.ขอนแก่น จำนวนหลายแปลง ได้สนใจที่จะนำที่ดินมาร่วมกับตนเพื่อพัฒนาโครงการ แต่ตนมองว่าที่ผ่านมาตลาดอสังหาฯขอนแก่น ค่อนข้างชะลอตัว จึงเปลี่ยนแผนดึงกลุ่มทุนดังกล่าวพัฒนาโครงการในจ.ชลบุรี และจ.ระยอง เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) เนื่องจากยังมีอัตราการเติบโตที่สูง ขณะนี้อยู่ในระหว่างการมองหาที่ดินขนาดประมาณ 10-20 ไร่ เพื่อพัฒนาบ้านเดี่ยว และ ทาวน์โฮม ราคาประมาณ 2-3 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณ 100 ล้านบาท/โครงการ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ในขณะนี้

นอกจากนี้ในส่วนของงานที่ปรึกษาและบริหารงานขายโครงการนั้น  ที่ผ่านมาได้มีลูกค้าได้มอบหมายให้ดำเนินการแล้วประมาณ 3 ราย ได้แก่

1.โครงการลลิศา คอนโดฯ ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท แพรกษาแลนด์ จำกัด บนพื้นที่ประมาณ 8 ไร่ ในรูปแบบของคอนโดฯ สูง 8 ชั้น จำนวน 5 อาคารๆละ 79 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 26-32 ตารางเมตร ราคาตั้งแต่ 190,000-1,300,000 บาท/ยูนิต  มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท  ปัจจุบันมียอดขายแล้วประมาณ 50%

 

2.โครงการเกตเวย์เฮาส์ พัฒนาในนามบริษัท เอ็นริช เฮ้าส์ จำกัด ในพื้นที่ย่านแปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา บนพื้นที่ทั้งหมด 40 ไร่ แบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 เฟส รวมมูลค่า 400 ล้านบาท โดยแรก พัฒนาบนพื้นที่ 20 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยว 1 ชั้น ขนาด 50 ตารางวา ราคา 2.09 ล้านบาท และบ้านแฝด ขนาด 36 ตารางวา ราคา 1.79 ล้านบาท มูลค่า 200 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดพรีเซลในต้นเดือนพฤศจิกายน 2562 นี้

3.โครงการบ้านเดี่ยว 1-2 ชั้น ในพื้นที่อ.เมือง จ.นครราชสีมา โดยเจ้าของโครงการมีแผนจะให้บริษัทฯเข้าไปเป็นที่ปรึกษาและบริหารรวม 12 โครงการ ขนาดที่ดินตั้งแต่ 30-100 ไร่ ราคาตั้งแต่ 2-5 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดยตั้งเป้าที่จะติดอันดับผู้ประกอบการ 1 ใน 5 ของจังหวัดในเร็วๆนี้

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*