DCIM100MEDIADJI_0049.JPG

“บลูสโคป” ทุ่มงบกว่า 4,000 ล้านบาท เปิดโรงงานผลิตเหล็กแห่งที่ 3 ด้วยกำลังการผลิต 160,000 ตันต่อปี ทันสมัยที่สุดและผลิตได้รวดเร็วที่สุดในอาเซียนรองรับอุตสาหกรรมก่อสร้างและที่พักอาศัยในไทยและอาเซียน

มร. ชาลี อิไลแอส

มร. ชาลี อิไลแอส ประธานบริหาร (เอเชียและอเมริกาเหนือ) บริษัท เอ็นเอส บลูสโคป (ประเทศไทย) จำกัดผลิตเหล็กเคลือบโลหะและเหล็กเคลือบสีภายใต้แบรนด์ “บลูสโคป”กล่าวว่า บริษัทฯเดินหน้าผลิตเหล็กเคลือบโลหะและเหล็กเคลือบสีโรงงานที่ 3 ของบลูสโคป ตั้งอยู่มาบตาพุด จังหวัดระยอง ซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับโรงงานที่ 1 และ 2 โดยก่อสร้างขึ้นจากการร่วมทุนของบริษัท เอ็นเอส บลูสโคป (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท นิปปอน สตีล คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท ล็อกซ์เล่ย์ จำกัด (มหาชน) ด้วยงบลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเหล็กเคลือบโลหะและเหล็กเคลือบสี รองรับกับตลาดภายในประเทศที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นโอกาสในการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า

ทั้งนี้ในปี 2562 มียอดการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศโตขึ้น 3% หรือประมาณ 750,000 ตัน ดังนั้นโรงงานที่ 3 จึงเป็นการขยายกำลังการผลิตเหล็ก เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมก่อสร้างขนาดเล็ก และที่พักอาศัย โดยโรงงานที่ 3 มีกำลังการผลิตกว่า 160,000 ตันต่อปี ซึ่งเมื่อรวมกับโรงงานแห่งที่ 1 และ 2 ทำให้บลูสโคปมีกำลังการผลิตรวมกว่า 580,000 ตันต่อปี นับเป็นผู้ผลิตเหล็กเคลือบโลหะและเหล็กเคลือบสีที่มีกำลังการผลิตสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน

โรงงานแห่งที่ 3 ของบลูสโคป ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุด โดยเครื่องจักรในการผลิตเหล็กเคลือบโลหะสามารถผลิตได้รวดเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับโรงงานในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน และยังเป็นเครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีการเคลือบสีที่ดีที่สุดและเร็วที่สุดในโลก ทำให้คุณภาพสินค้าที่ได้จากสายการผลิตนี้มีคุณภาพสูง นอกจากนี้ โรงงานแห่งนี้ยังมีการบริหารจัดการโรงงานที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม รวมถึงช่วยกระตุ้นการจ้างงานเพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของไทยแลนด์ 4.0

มร. ชาลี อิไลแอส ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงผลประกอบการของบลูสโคปในปี 2562 ว่า บลูสโคปมียอดขายระหว่างเดือนกรกฎาคม 2561 ถึงเดือนมิถุนายน 2562 อยู่ที่ 372,000 ตัน ซึ่งจากการเปิดโรงงานแห่งที่ 3 อย่างเป็นทางการแล้ว คาดการณ์ว่าจะส่งผลให้มียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 400,000 ตันในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายตลาดไปยังอีกหลายประเภทธุรกิจ รวมถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อรองรับกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มเพิ่มขึ้น

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*