ศุภาลัยฯเดินหน้ารุกอสังหาฯปีหนูทองทั้งใน– ต่างประเทศภูมิภาคเอเชีย ออสเตรเลียต่อเนื่อง เปิดแผนผุด 30 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท ปรับแผนรุกแนวราบมากสุดในรอบ 5 ปีสนองเรียลดีมานด์ ตั้งเป้ายอดขายปี’63 แตะ 26,000 ล้านบาท และรายได้พลิกฟื้นที่ 24,000 ล้านบาท                                
ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)หรือ SPALI เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2563 ว่าจะรุกการพัฒนาอสังหาฯอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกทม.-ปริมณฑล และต่างจังหวัด โดยปีนี้จะมีการเปิดตัวใน 3 จังหวัดใหม่ อาทิ พระนครศรีอยุธยา พิษณุโลก ฉะเชิงเทรา โดยอาจเริ่มพัฒนาปีนี้และเปิดขายปี 2564 นอกจากนี้ยังมีที่ดินที่ลำพูน ประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี แต่ยังไม่นำมาพัฒนา คาดว่าจะเริ่มนำมาพัฒนาในปี 2564  ซึ่งที่ผ่านมาการพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดของบริษัทฯประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ผู้บริโภคให้ความเชื่อมั่นมาโดยตลอด

สำหรับการลงทุนใหม่ๆในต่างประเทศของบริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยที่บริษัทยังมีความสนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไนประเทศฟิลิปปินส์อยู่ เนื่องจากมองว่าเป็นประเทศที่ยังมีโอกาสในการลงทุนใหม่ และให้ผลตอบแทนที่ดีกับบริษัท ประกอบกับยังมีเงินลงทุนเหลืออยู่ในประเทศฟิลิปปินส์ที่ยังไม่นำมาใช้ ทำให้มองไปถึงการต่อยอดการลงทุนใหม่ๆในฟิลิปปินส์ ซึ่งได้มีการเข้าไปศึกษาโครงการที่บริษัทสนใจประมาณ 4-6 โครงการ ซึ่งยังไม่สามารถสรุปข้อมูลได้ในขณะนี้

อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงปิดโอกาสในการลงทุนในต่างประเทศต่อเนื่อง โดยเฉพาะในแถบอาเซียนที่มีการเติบโตต่อเนื่อง เช่น เวียดนาม และอินโดนีเซีย อีกทั้งปัจจุบันที่บริษัทมีเงินทุนที่พร้อมลงทุนอยู่มาก มีความพร้อมในการลงทุน และค่าเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้เป็นโอกาสที่จะขยายการลงทุนใหม่ๆในต่างประเทศ แต่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของดีลที่เข้ามา โดยที่บริษัทตั้งเงินลงทุนที่ไว้ใช้รองรับการลงทุนในต่างประเทศไว้ที่ 10% ของมูลค่าสินทรัพย์ หรือกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันได้ใช้ไปแล้ว 2,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในออสเตรเลีย โดยในปี 2563 นี้จะมีการพัฒนารวม 11 โครงการ ใน 3 เมืองหลัก คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 3,800 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการประมาณ 25,000 ล้านบาท

 

ด้านนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI กล่าวว่า ในปี 2563  บริษัทฯมีแผนเปิดตัวใหม่จำนวน 30 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 25 โครงการ และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ ซึ่งการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้จะเน้นไปที่โครงการแนวราบเป็นจำนวนมาก ถือว่าเป็นการเปิดโครงการแนวราบสูงที่สุดในรอบ 5 ปี เนื่องจากเป็นไปตามภาวะของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันที่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงมีอยู่มาก เพราะไม่มีการเก็งกำไร ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบการชะลอตัวของการซื้อเหมือนกับตลาดคอนโดมิเนียม

ขณะที่การเปิดตัวคอนโดมิเนียมในปีนี้จะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่ซื้อคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัยจริง ในระดับราคาที่ลูกค้าส่วนใหญ่เข้าถึงได้ และการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมในปีนี้ที่มีจำนวนไม่มาก ซึ่งเป็นไปตามทิศทางเดียวกับแผนการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมของผู้ประกอบการรายอื่น เพื่อเป็นการช่วยลดซัพพลายในตลาดให้ลดลง และทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมกลับเข้าสู่ภาวะสมดุล หลังจากในปีที่ผ่านมาปัจจัยกดดันจากซัพพลายคอนโดมิเนียมในตลาดที่มีอยู่มาก ลูกค้ากลุ่มนักลงทุนและลูกค้าชาวจีนที่เป็นผู้ซื้อหลักหายไปมาก จากมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV) และค่าเงินบาทที่แข็งค่า กำลังซื้อที่ชะลอตัวจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมในปีที่ผ่านมาหดตัวลงมาก ส่งผลให้ในปีนี้บริษัทฯชะลอการเปิดตัวคอนโดมิเนียมลง และจับกลุ่มลูกค้าที่ซื้ออยู่จริงเป็นหลัก

สำหรับสัดส่วนการพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดของบริษัทฯเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 34%ในปี 2563 จากเดิมที่ 24% พร้อมวางงบซื้อที่ดินในปีนี้ไว้ที่ 8,000 ล้านบาท และงบก่อสร้าง 12,000 ล้านบาท

ส่วนแนวโน้มอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการของบริษัทในปีนี้มองว่าจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยหรือทรงตัวจากปีก่อนที่เพิ่มขึ้นมาเป็น15% จากปี 61 ที่ 10% หลังจากที่มาตรการ LTV มีความผ่อนคลายลงมาบ้าง และเห็นสัญญาณของธนคารพาณิชย์ส่วนใหญ่เริ่มกลับมาปล่อยสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้น ทำให้มองว่าแนวโน้มการปฏิเสธสินเชื่อบ้านในปีนี้จะลดลง ส่วนการออกหุ้นกู้ของบริษัทปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสม ซึ่งปัจจุบันบริษัทถือว่ามีสภาพคล่องและมีเงินทุนรองรับการพัฒนาโครงการและการซื้อที่ดินอยู่มาก และมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำเพียง 2.31% ทำให้อาจจะยังไม่เร่งการออกหุ้นกู้มากในช่วงนี้

โดยในปี2563 บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายที่ 26,000 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนที่ทำยอดขายได้ 22,300 ล้านบาท ด้านรายได้ตั้งเป้าไว้ที่ 24,000 ล้านบาท โดยจะมีรายได้ที่เข้ามาจากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่กว่า  38,600 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ในปีนี้ 10,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างเสร็จในปีนี้จำนวน 4 โครงการ ในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนในครึ่งปีแรกรายได้จะมาจากโครงการแนวราบเป็นหลัก รวมไปถึงการทยอยระบายสต๊อกที่เหลือขายที่มูลค่ามีอยู่ 14,000 ล้านบาทในปัจจุบัน ให้ลดลงไปอีกประมาณ 5-10% ในช่วงไตรมาสแรกนี้ เพื่อสร้างรายได้เข้ามาใหม่กับบริษัท

“ในปี 2563 จะเป็นปีที่ภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทจะฟื้นกลับมาทั้งรายได้และกำไร หลังจากที่ปีก่อนเป็นปีที่ผลการดำเนินงานของบริษัทและภาพรวมของตลาดเผชิญกับแรงกดดันมามาก ทำให้รายได้ของบริษัทในปีก่อนนั้นออกมาไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ 28,000 ล้านบาท และต่ำกว่าปี  2561 ที่ 25,800 ล้านบาท ซึ่งมองว่าในปีนี้ตลาดและบริษัทสามารถปรับตัวและรับมือได้ค่อนข้างดีแล้ว ทำให้ทิศทางของผลการดำเนินงานของบริษัทจะเห็นการฟื้นตัวกลับมา” นายไตรเตชะ กล่าวในที่สุด

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*