ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC )วิเคราะห์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันตก ปี 2563 ในสองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดเพชรบุรี พบว่าภาพรวมตลาดชะลอตัวแม้โครงการใหม่จะเข้ามาในตลาดไม่มาก แต่ด้วยจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ลดลงจึงมีผลให้อัตราดูดซับลดลงต่อเนื่อง

 

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC ) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภาคตะวันตก ได้แก่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดเพชรบุรี จากข้อมูลการสำรวจพบว่า ณ สิ้นปี 2562 มีโครงการที่อยู่อาศัยเสนอขายจำนวนทั้งสิ้น 6,795 ยูนิต ซึ่งคิดเป็น 1.9 % ของจำนวนที่อยู่อาศัยใน 26 จังหวัดหลักซึ่งมีจำนวนรวม 355,145 ยูนิต นับได้ว่ามีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยน้อยที่สุดในกลุ่ม 26 จังหวัด โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์จำนวน 3,692 ยูนิต และจังหวัดเพชรบุรีจำนวน 3,103 ยูนิต

จากการสำรวจภาพรวมโครงกาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในช่วงครึ่งหลังปี 2562 อุปทานภาพรวมมีที่อยู่อาศัยเสนอขายจำนวน 95 โครงการ รวม 3,692 ยูนิต มีโครงการที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังจำนวน 1,069 ยูนิต โดยเป็นบ้านจัดสรรทั้งหมด ในช่วงครึ่งหลังปี 2562 มีจำนวนหน่วยที่ขายได้ใหม่จำนวน 942 ยูนิต และมีหน่วยเหลือขายจำนวน 2,750 ยูนิต มูลค่า 13,059 ล้านบาท ส่วนทำเลที่มียอดขายได้ใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่

1.ทำเลทับใต้ มีอัตราดูดซับ 8.8  %

2.ทำเลหัวหิน  อัตราดูดซับ 4.8%

และ 3.ทำเลเขาตะเกียบ อัตราดูดซับ 2.0%

ทั้งนี้ ในจำนวนดังกล่าวมีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขาย (พร้อมโอน) หรือเป็น Inventory ณ สิ้นปี 2562 จำนวน 505 หน่วย มูลค่า 2,866 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรรมีจำนวน 173 ยูนิต มูลค่า 820 ล้านบาท โครงการอาคารชุด(คอนโดมิเนียม)มีจำนวน 332 ยูนิต มูลค่า 2,046 ล้านบาท โดยทำเลซึ่งมีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.หัวหิน จำนวน 207 ยูนิต 2.เขาหินเหล็กไฟ จำนวน 96 ยูนิตและ 3.ปราณบุรี จำนวน 83 ยูนิต

ในปี 2563 คาดการณ์ว่าจะมีการปรับตัวของตลาดมากพอสมควรเนื่องจากยังมีจำนวนหน่วยเหลือขายจำนวนมากทั้งในส่วนของบ้านเดี่ยว และอาคารชุด  ส่งผลให้อัตราดูดซับของทุกกลุ่มประเภทที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มที่จะปรับลดลง ซึ่งเมื่อพิจารณาจากภาพรวมในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 อัตราดูดซับจะอยู่ที่ 4.3% ลดลงจาก 5.1% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ส่วนในปี 2563 คาดการณ์ว่าอัตราดูดซับจะลดลงมาอยู่ที่ 0.9-1.7 %โดยคาดว่าจะมีโครงการใหม่เปิดขายประมาณ 981 ยูนิต ในขณะที่มีหน่วยเหลือขายสะสมประมาณ 3,244 ยุนิตในจำนวนดังกล่าวหากไม่มีการก่อสร้างหน่วยเหลือขายเข้ามาเติมในตลาด และอุปทานใหม่ไม่เพิ่มในกลุ่มสินค้าที่มีปัญหาคือกลุ่มอาคารชุดระดับราคา 2-3 ล้านบาท ตลาดโดยรวมน่าจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2564

สำหรับผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี พบว่า ณ สิ้นปี 2562 มีจำนวนที่อยู่อาศัยเสนอขายจำนวนทั้งสิ้น 55 โครงการ จำนวน 3,103 ยุนิต ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรกติดลบ 22.9 %โดยมีโครงการที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังเพียง 499 ยูนิต ซึ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรรทั้งหมด

เมื่อพิจารณาจากหน่วยขายได้ใหม่จากการสำรวจพบว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2562 มีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 460 ยูนิตเพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก 26.7 % ในจำนวนดังกล่าวเป็นการขายห้องชุด 147 ยุนิต และเป็นบ้านจัดสรร 313 ยูนิต และมีหน่วยเหลือขายจำนวน 2,643 ยูนิต ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรกติดลบ 27.8% มูลค่ารวม 10,575 ล้านบาท โดยเป็นหน่วยเหลือขายประเภทโครงการอาคารชุดจำนวน 1,809 ยูนิต บ้านจัดสรรจำนวน 834 ยูนิต

จากการที่จำนวนหน่วยขายได้ใหม่มีอัตราการขายได้เพิ่มขึ้นถึง 26.7% จึงส่งผลให้จำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายมีอัตราลดลงติดลบ 27.8 %โดยทำเลที่มีที่อยู่อาศัยเหลือขายมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่1.ชะอำตอนเหนือ จำนวน 1,793 ยูนิต 2.ชะอำตอนใต้ จำนวน 604 ยุนิต และ3.ในเมืองเพชรบุรี จำนวน 239 ยูนิต  ส่วนทำเลขายได้ใหม่สูงสุด 3 อันดับแรกตามลำดับ ได้แก่

อันดับ 1.ทำเลชะอำตอนใต้ จำนวน 275 ยูนิต อัตราดูดซับ 5.2 %

อันดับ 2.ทำเลชะอำตอนเหนือ จำนวน 160 ยูนิต อัตราดูดซับ1.4 %

และอันดับ 3.ทำเลในเมืองเพชรบุรี จำนวน 25 ยูนิต อัตราดูดซับ 1.6%

ส่วนหน่วยที่สร้างเสร็จเหลือขาย (พร้อมโอน) หรือเป็น Inventory ในพื้นที่สำรวจจังหวัดเพชรบุรีมีจำนวน 1,873 หน่วย มูลค่า 6,992 ล้านบาท ซึ่ง 3 ทำเลที่มีหน่วยสร้างเสร็จเหลือขายมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.ทำเลชะอำตอนเหนือ จำนวน 1,706 ยูนิต 2.ทำเลชะอำตอนใต้ จำนวน 85 ยูนิต 3.ทำเลในเมืองเพชรบุรี จำนวน 80 ยูนิต

ในปี 2563 คาดการณ์ว่าจะมีการปรับตัวของตลาดโดยเฉพาะในส่วนของโครงการอาคารชุดมากพอสมควร เนื่องจากมีจำนวนหน่วยสร้างเสร็จเหลือขายสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้อัตราดูดซับของทุกกลุ่มประเภทที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มปรับตัวลดลง แม้ภาพรวมในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 อัตราดูดซับรวมของทุกประเภทจะอยู่ที่ 2.5% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก1.5 %ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 แต่ด้วยจำนวนหน่วยเหลือขายที่ยังคงมีอยู่มากพอสมควร จึงคาดว่าจะส่งผลให้อัตราดูดซับในปี 2563 ลดลงมาอยู่ที่ 0.8-2.4 % โดยคาดว่าจะมีโครงการใหม่เปิดขายประมาณ 364 ยูนิต ในขณะที่มีหน่วยเหลือขายสะสมประมาณ 2,610ยูนิต ในจำนวนดังกล่าว ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังคงน่าเป็นห่วงเนื่องจากมีหน่วยเหลือขายมากที่สุดถึง 1,660 ยูนิต

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*