ดีเฮ้าส์พัฒนาฯ มองธุรกิจอสังหาฯจ.มหาสารคาม มีโอกาสเติบโตสูง ลุยเดินหน้าตามแผนธุรกิจหลังระดมทุน หวังขึ้นแท่นเบอร์ 1 อสังหาฯภาคอีสาน เปิดแผนปี 64 จ่อผุด 5 โครงการกระจายทุกเซกเมนต์ เล็งขยายฐานตลาดแนวราบหัวเมืองใหญ่หวังสร้างแบรนด์ ตั้งเป้า 3-5 ปี รายได้แตะ 1,000 ล้านบาท เชื่อหากเศรษฐกิจฟื้นอาจเติบโตถึง 50%
นายพงศ์พจน์ เลิศรุ้งพร
นายพงศ์พจน์ เลิศรุ้งพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีเฮ้าส์พัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือDHOUSE เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบในจังหวัดมหาสารคาม ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา และมองว่าหากต้องการให้บริษัทมีอัตราการเติบโตมากขึ้น จะต้องมีการจัดโครงสร้างและระบบให้ดีกว่าเดิม จึงมองเห็นช่องว่างที่จะสามารถทำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai)ได้ จึงได้เริ่มศึกษาข้อมูลจากที่ปรึกษาทางการเงินคือ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) และมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป(ประเทศไทย)จำกัด(มหาชน) หรือ PST แกนนำในการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ซึ่งได้ทำการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งสามารถระดมทุนได้จำนวน 130 ล้านบาท โดยเม็ดเงินจำนวน 20 ล้านบาท บริษัทฯจะนำไปชำระหนี้สิน ส่วนอีก 60 ล้านบาท จะนำไปพัฒนาโครงการในอนาคต และที่เหลืออีก 35 ล้านบาท เก็บไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
“มองว่ามหาสารคาม ไม่ใช่จังหวัดที่ใหญ่ แต่เราสามารถนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ ทำให้รู้สึกภาคภูมิใจ เพราะสามารถทำให้ภาพพจน์ของบริษัทฯดีขึ้น มีความน่าเชื่อถือ แต่ตั้งเป้าที่จะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ธุรกิจอสังหาฯในภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้เร็วที่สุด” นายพงศ์พจน์ กล่าว

โดยแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2564 จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างน้อย 5 โครงการ ซึ่งขณะนี้นำเสนอบอร์ดไปแล้ว 2 โครงการ คือ

1.โครงการ U Park ตั้งอยู่บนพื้นที่ 40 ไร่ จากทั้งหมด 74 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านแฝด 1-2 ชั้น ขนาด 44-60 ตารางวา ราคาเร่ิมต้นที่ 1.8-4 ล้านบาท จำนวน 249 ยูนิต มูลค่าโครงการรวมรวม 607.07 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเปิดขายโครงการได้ในไตรมาส 1/2564

2.โครงการแกรนด์บิซ 2 อาคารพาณิชย์ 3 ชั้น จำนวน 40 ยูนิต บนพื้นที่ 3 ไร่ เดินทางสะดวกใกล้มหาวิทยาลัย ศูนย์การค้า และสถานที่ราชการต่างๆ มูลค่าโครงการ 127.60 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเปิดขายโครงการได้ในไตรมาส 2/2564

ส่วนอีกประมาณ 3 โครงการที่เหลือ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาแผนธุรกิจ และความเป็นไปได้ของโครงการ เพื่อพัฒนาโครงการรูปแบบใหม่ประเภท คอนโดฯ Lowrise  “M Park”จำนวน1,500 ยูนิต และ “River Condo”มูลค่าโครงการ 321.72 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 1 ล้านบาท รวมไปถึงโครงการมิกซ์ยูส เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และสร้างรายได้ประจำในอนาคต

อีกทั้งบริษัทมีแผนที่จะขยายไปหัวเมืองใหญ่ในจังหวัดอื่นๆที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงสุด 5 อันดับแรกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ขอนแก่น อุบลราชธานี นครราชสีมา และอุดรธานี แต่ในเบื้องต้นจะรุกตลาดในจังหวัดมหาสารคาม ขอนแก่น ก่อน โดยจะพัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ระดับราคา 3-4 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการมองหาที่ดินศักยภาพ และเจรจาซื้อขายที่ดิน ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้  โดยตั้งเป้าการเติบโตระยะ 3-5 ปี   มีรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท

หลังจากที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ว บริษัทฯยังมีแผนที่จะยุบแบรนด์ให้เหลือตามเซกเมนต์ที่พัฒนาเท่านั้น ซึ่งจะเร่ิมจากโครงการใหม่ที่จะพัฒนาในปี 2564 เป็นต้นไปนายพงศ์พจน์ กล่าว

นายพงศ์พจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่บริษัทฯสนใจดำเนินธุรกิจอสังหาที่จังหวัดมหาสารคาม เพราะมองว่าเศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัดมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% ต่อปี ซึ่งได้รับปัจจัยจากประชากรแฝง เนื่องจากเป็นเมืองแห่งการศึกษา จึงมีนักศึกษา บุคลากร และนักธุรกิจที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ทำให้เกิดการค้าขาย การลงทุนในภาคธุรกิจ ส่งผลให้เกิดความต้องการด้านอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน และเนื่องจากมหาสารคามเป็นจังหวัดที่ไม่ได้พึ่งพิงการท่องเที่ยว ส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และยังมีกำลังซื้อและเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน โดยตามข้อมูลภาคอสังหาฯในปี 2562 มีหน่วยโอนประมาณ 1,057หน่วย มูลค่าการโอนประมาณ 1,235 ล้านบาท

อีกทั้งมหาสารคามยังเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพในการลงทุน เพราะยังไม่ค่อยมีผู้ประกอบการรายใหญ่จากกทม.เข้ามาทำตลาดมากนัก  จะมีเพียง บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮาส์  จำกัด(มหาชน)หรือLH ที่เข้ามาทำตลาดเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา พัฒนาบ้านในระดับราคา 4-14 ล้านบาท และบริษัท ซี.พี.แลนด์  จำกัด(มหาชน) หรือ CPLAND เข้ามาทำตลาดเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา พัฒนาโครงการคอนโดฯในระดับราคา 1-1.3 ล้านบาท

ส่วนผู้ประกอบการในพื้นที่มีประมาณ 4-5 ราย ส่วนใหญ่พัฒนาในรูปแบบแนวราบ ระดับราคา2.5-4 ล้านบาท ซึ่งการแข่งขันถือว่ายังไม่สูงมาก เพราะไม่ค่อยมีผู้ประกอบการเข้ามาทำตลาดมากนัก โดยดีมานด์ส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม ประกอบอาชีพรับราชการหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และเอกชนทั่วไป ที่มีกำลังซื้อสูงส่วนใหญ่จะซื้อด้วยเงินสด

ขณะที่จังหวัดขอนแก่น แม้ว่าจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้าไปทำตลาดเป็นจำนวนมาก แต่บริษัทฯก็มีความได้เปรียบในการเป็นผู้ประกอบการในท้องถิ่น สามารถซื้อที่ดินแปลงศักยภาพในราคาที่มีต้นทุนถูกกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ถึง 40- 50% และเมื่อนำมาพัฒนาโครงการราคาขายจะถูกกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ ตั้งแต่ 30% ขึ้นไป หากดีมานด์ที่ยึดติดกับแบรนด์ก็จะไปซื้อโครงการของผู้ประกอบการรายใหญ่ แต่ถ้าหากต้องการความคุ้มค่าและราคาถูกกว่าก็จะนิยมซื้อโครงการที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการในท้องถิ่น

อย่างไรก็ตามในอนาคตบริษัทฯยังมีความสนใจที่จะเข้าไปพัฒนาโครงการในพื้นที่กทม.ด้วยเช่นกัน เพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รับรู้ แต่ทั้งนี้ต้องดูสถานการณ์ตลาดและโอกาสที่จะเข้าไปพัฒนาด้วย จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

โดยปัจจุบันบุคคลในครอบครัวตนยังมีที่ดินสะสมในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น และมหาสารคามอีกประมาณไม่ต่ำกว่า 40 แปลง หากแปลงไหนมีศักยภาพและต้องการนำมาพัฒนาก็จะนำบริษัทฯเข้าไปซื้อที่ดินเพื่อมาพัฒนาต่อไป

นายอรรถ เลิศรุ้งพร

ด้านนายอรรถ เลิศรุ้งพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเฮ้าส์พัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือDHOUSE กล่าวว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีกว่าครึ่งปีแรก จากผลกระทบที่ประเทศไทยมีมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งหลังจากปลดล็อคดาวน์แล้วโครงการของ DHOUSE ยังคงได้รับความนิยม มีลูกค้าสนใจจองซื้ออย่างต่อเนื่อง

โดยในไตรมาส 3/2563 มียอดโอนจำนวน 22 ยูนิต แบ่งเป็นโครงการเดอะแกรนด์ เรสซิเดนซ์ 8 ยูนิต     เดอะแกรนด์ คาเนล 9 ยูนิต และเดอะแกรนด์ บิซ 5 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวม 70.42 ล้านบาท และมียอดจองคงเหลือรอโอนจำนวน 18 ยูนิต  จากที่เปิดขายอยู่ 4 โครงการ คือ

โครงการโครงการเดอะแกรนด์ เรสซิเดนซ์ “2 ยูนิต, “เดอะแกรนด์ คาเนล” 2 ยูนิต ,”เดอะแกรนด์ บิซ” 5 ยูนิต และพฤกภิรมย์” 9 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 58.05 ล้านบาท  และในช่วงไตรมาส 4 คาดว่าจะเริ่มโอนโครงการพฤกภิรมย์ได้ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน หรือต้นเดือนธันวาคม 2563 และเชื่อว่ามียอดจองและยอดโอนทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ภาพรวมของบริษัทฯในปีนี้ จะมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 10% ของมูลค่าตลาดรวมในจ.มหาสารคาม ที่มียอดโอนากการจดทะเบียนปีละ 1,000 กว่าล้านบาท และคาดว่าในปี 2564 บริษัทฯจะมีอัตราเติบโตประมาณ 20% และหากสถานการณ์และภาพรวมเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น อาจะทำให้บริษัทฯมีอัตราการเติบโตได้ถึง 50%

อนึ่ง บริษัท ดีเฮ้าส์พัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ DHOUSE เกิดจากการรวมกิจการกันระหว่างบริษัท ดีเฮ้าส์ โฮมเซ็นเตอร์ จำกัด (DHC) และบริษัท ดีเฮ้าส์พัฒนา จำกัด (DH) โดยกลุ่มครอบครัวเลิศรุ้งพรและครอบครัวแก้ววิศิษฎ์ภายใต้การบริหารงานของนายพงศ์พจน์เลิศรุ้งพร ,นายพงศ์นรินทร์ เลิศรุ้งพร และนายอรรถ เลิศรุ้งพร  ดำเนินธุรกิจอสังหาฯเพื่อการขายทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ ในพื้นที่จ.มหาสารคาม เป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีธุรกิจหอพักให้เช่า บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยมหาสารคาม จำนวน 1 อาคาร สูง 5 ชั้นจำนวน 80 ห้อง ราคาประมาณ 5,000 บาท/เดือน และยังดำเนินธุรกิจรีเทล ภายใต้แบรนด์ฟาร์มมาร์ทที่จ.ขอนแก่น และจ.มหาสารคาม รวมไปถึงยังมีธุรกิจปั๊มน้ำมันในจ.มหาสารคามจำนวน 2 แห่ง และในอนาคตมีแผนที่จะขยายธุรกิจดังกล่าวต่อเนื่องอีกด้วย

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*