นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเม้นต์ไทย จำกัด (มหาชน)หรือ เอสซีจี เปิดเผยว่า สถานะทางการเงินของเอสซีจียังแข็งแกร่ง แม้ว่าผลกำไรในงวดไตรมารส 3 ที่ผ่านมาจะลดลงลดลง 11% จากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด 19 ระลอกใหม่ และการปิดเมืองทั้งภูมิภาค  รวมถึงต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบสูงขึ้น แต่บริษัทได้เร่งดำเนินกลยุทธ์ตามแนวทาง ESG (Environmental, Social and Governance) เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับต้นทุนพลังงาน และวัตถุดิบที่อาจเพิ่มสูงขึ้นอีก รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่คาดว่าจะรุนแรงขึ้นในอนาคต

โดยได้ทำสัญญาซื้อขายพลังงานล่วงหน้า รวมถึงการเลือกใช้วัตถุดิบที่เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน จะเห็นได้จากช่วง 8 เดือนแรกของปี 2564  บริษัทมีสัดส่วนการใช้พลังงานชีวมวลจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและเชื้อเพลิงจากขยะ RDF เท่ากับ 12%   โดยเฉพาะในธุรกิจซีเมนต์ มีการใช้พลังงานชีวมวลและเชื้อเพลิง RDF มากถึง 25% และพลังงานแสงอาทิตย์ 3% หรือ 77,744 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง

ทั้งนี้เชื่อว่าภายหลังการเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ กำลังซื้อจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว เพราะภาคธุรกิจและประชาชนสามารถปรับตัวในการอยู่กับร่วมโควิด 19 ได้เช่นเดียวกับหลายประเทศ ซึ่งเอสซีจีได้เตรียมความพร้อมในการโอกาสสร้างการเติบโตระยะยาวด้วยผลิตภัณฑ์รักษ์โลกและสุขอนามัย อาทิ ผลิตภัณฑ์ SCG Green Choice ที่ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ CPAC Green Solution ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มความรวดเร็ว ลดปัญหาฝุ่นและของเสียในงานก่อสร้าง นอกจากนี้ยังเดินหน้าสู่ธุรกิจด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ ธุรกิจผลิตวัตถุดิบสำหรับผลิตพลาสติกชีวภาพ เป็นต้น

โดยล่าสุดได้ลงนามเอ็มโอยูกับ Braskem เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมทุนสร้างโรงงานผลิตไบโอ-เอทิลีนในประเทศไทย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการพลาสติกชีวภาพ ส่วนความคืบหน้าการลงนามในสัญญาซื้อหุ้นบริษัทซีพลาสต์ ผู้นำด้านพลาสติกรีไซเคิลในประเทศโปรตุเกส คาดว่าจะสามารถโอนหุ้นได้เสร็จภายในสิ้นปีนี้

ส่วนการดำเนินธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จะเน้นการจัดหาพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น โดยรับซื้อเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ จาก Solar Farm และ Solar Floating รวมถึงการนำลมร้อนเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์กลับมาใช้ใหม่

ขณะเดียวกันได้พัฒนาสินค้า บริการและโซลูชั่นเพื่อตอบโจทย์การก่อสร้างและการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน อาทิ CPAC Green Solution ที่มีนวัตกรรมหลัก ได้แก่ CPAC BIM นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้บริหารงานก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพ ช่วยลดการสูญเสียเวลาและทรัพยากร

ผลิตภัณฑ์กลุ่ม SCG Green Choice  เช่น ปูนงานโครงสร้าง เอสซีจี สูตรไฮบริดที่ลดการใช้ทรัพยากรในการผลิตและลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ระบบหลังคา SCG Solar Roof ที่ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าให้กับเจ้าของบ้าน ด้วยการใช้พลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและ SCG Bi-Ionization Air Purifier ระบบไอออนกำจัดเชื้อโรค ที่ช่วยลดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสในอากาศ

สำหรับงบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจีในไตรมาสที่ 3 ปี 2564 นายรุ่งโรจน์กล่าวว่า บริษัทมีรายได้จากการขาย 131,825 ล้านบาท ลดลง 1% จากไตรมาสก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ 9,066 ล้านบาท ลดลง 47% จากไตรมาสก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง ทั้งนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขาย เพิ่มขึ้น 31% จากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น

 ส่วนผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2564 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 387,446 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 38,867 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น

โดยเฉพาะในส่วนธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ช่วงไตรมาส 3 มีรายได้จากการขาย 44,059 ล้านบาท ลดลง 5% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดการส่งออกสินค้าไปยังตลาดอื่นๆ นอกอาเซียนและความต้องการสินค้าผลิตภัณฑ์ก่อสร้างภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น ส่วนผลประกอบการ 9 เดือนมีรายได้จากการขาย 136,660 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*