อัลฟ่าฯมั่นใจโอไมครอนฯไม่กระทบอสังหาฯ ประกาศผุดคอนโดฯแนวราบ 2 โครงการใหม่รับปีเสือ รวมมูลค่า 1,536 ล้านบาท พร้อมปรับคอนโดฯย่านพระโขนง เป็นอาคารสำนักงานภายใต้แบรนด์ “วี ทาวเวอร์” หวังสร้างรายได้ระยะยาว เตรียมเปิดจองพื้นที่ในปี 66  ล่าสุดบอร์ดอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียน 108.90 ล้านหุ้น จัดสรรแบบพีพีให้กับ”บริษัท บี ริช โฮลดิ้ง” ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท มหทุน โฮลดิ้ง จำกัด (MHTH) เพื่อแลกถือหุ้น 76.78 % มูลค่ารวม 201.46 ล้านบาท พร้อมได้สิทธิเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท มะหะทุน เช่าสินเชื่อ มหาชน ผู้นำธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใน สปป.ลาว ระบุการเข้าลงทุนในครั้งนี้เป็นการแตกไลน์ธุรกิจใหม่ สนับสนุนรายได้กำไรโตก้าวกระโดด เผยปีนี้ตั้งเป้ารายได้พุ่ง 200% รับรู้รายได้จาก 3 ธุรกิจเติบโต สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น
 นายธีร ชุติวราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลฟ่า ดิวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือALPHAX หรือเดิมคือ บริษัท โอเชี่ยน คอมเมิรช จำกัด (มหาชน) หรือ OCEAN เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 2565 นี้ว่า ยังคงไปได้อย่างต่อเนื่องและบางเซกเมนต์ยังไปได้ดี หากมีการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ลูกค้า  ในส่วนของบริษัทฯเองนั้นหลังจากที่ปรับโครงสร้างบริษัทฯมาตั้งแต่ปลายปี 2562 ที่ผ่านมา ก็มีการรุกขยายธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง แต่ในส่วนของธุรกิจอสังหาฯนั้นยังพัฒนาในนามบริษัทลูกคือ บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด โดยในปี 2565 มีแผนจะเปิดตัว 2 โครงการ รวมมูลค่า 1,536 ล้านบาท  ได้แก่  โครงการ “เดอะ เวเลอร์ รามอินทรา” ตั้งอยู่บนพื้นที่เกือบ 8 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว ขนาด 60-90 ตารางวา ราคา 15-20 25 ล้านบาท  จำนวนยูนิต มูลค่าโครงการ 486 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดขายประมาณไตรมาส 1/2565 หรือต้นไตรมาส 2/2565
และโครงการ “เดอะ เธอตี้เอจ สุขุมวิท” (The 38 Sukhumvit) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 337 ตารางวา พัฒนาในรูปแบบของคอนโดมิเนียม สูง 15 ชั้น ขนาด 30-86 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยประมาณ 210,000 บาทต้นๆ/ตารางเมตร  จำนวน 95 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,050 ล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวบริษัทฯได้ซื้อที่ดินมาได้ประมาณ 2 ปีแล้ว และมีแผนจะพัฒนาตั้งแต่ปี 2563 แต่มาประสบปัญหากับโควิด-19 ระลอกแรกก่อน จึงได้เลื่อนมาเปิดในปีนี้แทน ซึ่งมีแผนจะเปิดการขายประมาณไตรมาส 3/2565

อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโอไมครอน จะไม่มีผลกระทบต่อการพัฒนาโครงการแต่อย่างใด เพราะอสังหาฯรายใหญ่ก็ได้มีการประกาศเปิดตัวโครงการในย่านสุขุมวิท 38 ไปแล้วถึง 5 โครงการ ซึ่งมั่นใจว่าราคาขายต่อตารางเมตรของบริษัทฯจะสู้รายใหญ่ได้อย่างแน่นอน เพราะได้ต้นทุนราคาที่ดินที่ถูกกว่า  ดังนั้นราคาขายคอนโดฯจะถูกกว่าอย่างน้อย 30%  และเชื่อว่าผู้บริโภคที่ตัดสินใจซื้อจากการเลือกแบรนด์ คงเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว แต่ในปัจจุบันหากโครงการไหนมีความเป็นส่วนตัวสูง มีจำนวนยูนิตที่น้อยก็จะสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี และโครงการของบริษัทฯก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

ส่วนการพัฒนาโครงการ “วี ทาวเวอร์”(V TOWER) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ ที่เดิมมีแผนพัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯ ภายใต้แบรนด์ “เวอร์เทียร์ สุขุมวิท” ซึ่งเดิมมีการก่อสร้างฐานรากเรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยศักยภาพของที่ดินที่อยู่ติดบีทีเอส พระโขนง และราคาที่ดินที่นับวันจะพุ่งสูงขึ้น และหายาก ปัจจุบันราคาพุ่งไปที่ 1.6-1.7 ล้านบาท/ตารางวา จากที่ซื้อมาในราคา 1.2-1.3 ล้านบาท/ตารางวา ดังนั้นเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมาจึงได้ปรับรูปแบบเป็นอาคารสำนักงานให้เช่า สูง 27 ชั้น เป็นพื้นที่เช่ารวมประมาณ 12,5000 ตารางเมตร คาดว่าจะเปิดให้จองพื้นที่ได้ประมาณต้นปี 2566 ราคาเช่าอยู่ที่ประมาณ 850-1,000 บาท/ตารางเมตร และการก่อสร้างจะแล้วเสร็จประมาณปี 2566 เช่นกัน

“การพัฒนาโครงการของเรา จะเน้นกลุ่มเรียลดีมานด์มากขึ้น ทั้งอาคารสำนักงาน เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และโครงการแนวราบ ในรูปแบบบ้านแฝดและบ้านเดี่ยว ระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ไม่มีปัญหาในเรื่องการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) สำหรับการพัฒนาโครงการประเภทคอนโดมิเนียมล่าช้า จึงหันมาเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น เพราะสามารถก่อสร้างและรับรู้รายได้ได้เร็ว โดยการพัฒนาจะไม่จำกัดทำเล แต่เน้นทำเลที่มีดีมานด์ ซึ่งก็มองหาที่ดินมาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าเทรนด์อสังหาฯยังไปได้ หากพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ลูกค้า และพัฒนาในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม เชื่อว่ายังคงสามารถไปได้ดี”นายธีร กล่าว

โดยที่ผ่านมาบริษัทฯลงทุนโครงการอสังหาฯมาแล้ว 5 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ  10,000 ล้านบาท และในปีนี้ตั้งเป้ารับรู้รายได้ 600-700 ล้านบาท จาก 3 โครงการ ที่จะสามารถโอนได้ภายในปีนี้  ได้แก่  IKON Sukhumvit 77 ย่านอ่อนนุช และ IKON Udomsuk ย่านอุดมสุข และเดอะ เวเลอร์ รามอินทรา

ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการ เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2565 มีมติอนุมัติการเข้าทำรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์โดยการซื้อหุ้นสามัญของบริษัท มหทุน โฮลดิ้ง จำกัด (“MHTH”) รวม 7,677,500 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ในราคาซื้อขายประมาณหุ้นละ 26.240964 บาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 76.78 ของทุนจดทะเบียนของ MHTH จากริษัท บี ริช โฮลดิ้ง จำกัด  ด้วยมูลค่าการเข้าทำรายการรวมเท่ากับ 201,465,000 บาท โดยวิธีการโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer : EBT) ภายหลังการทำธุรกรรมดังกล่าว MHTH จะถือเป็นบริษัทย่อยของบริษัท และบริษัทฯจะถือหุ้นในสัดส่วน 76.78%

บริษัทฯจะชำระค่าหุ้นสามัญของ MHTH โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทในลักษณะการเสนอขายแบบเฉพาะเจาะจงให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ให้แก่ผู้ขาย แทนการชำระด้วยเงินสด จำนวนไม่เกิน 108,900,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ในราคาเสนอขายหุ้นละ 1.85 บาท คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 201,465,000 บาท (หรืออีกนัยหนึ่งคือผู้ขายจะจองซื้อหุ้นสามัญใหม่ของบริษัท โดยจะชำระเงินค่าหุ้นออกใหม่ด้วยหุ้นของ MHTH ที่ตนถืออยู่ (Share Swap) โดยคิดเป็นอัตราแลกเปลี่ยนหุ้นเท่ากับ 1.000000 หุ้นของ MHTH ต่อ 14.184305 หุ้นใหม่ของบริษัท ซึ่งบริษัทมีความเห็นว่าราคาดังกล่าวนั้นเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถือหุ้นเมื่อพิจารณาถึงมูลค่าของ MHTH และมูลค่าหุ้นปัจจุบันของบริษัท

โดยที่ประชุมมีมติอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2565 ในวันที่ 4 มีนาคม 2565 เวลา 10.00 น. ด้วยวิธีการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting) และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุม (Record Date) ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 เพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 27,225,000 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 452,418,389.50 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 479,643,389.50 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่จำนวนไม่เกิน 108,900,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด ได้แก่ บริษัท บี ริช โฮลดิ้ง จำกัด เพื่อเป็นค่าตอบแทนสำหรับหุ้นสามัญของ MHTH โดยวิธีการแลกหุ้น

“การเข้าลงทุนในครั้งนี้เป็นการแตกไลน์ก้าวเข้าสู่ธุรกิจไฟแนนซ์ ซึ่งภายหลังจากการเข้าไปลงทุนในบริษัท MHTH จะทำให้ ALPHAX กลายบริษัทฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท มะหะทุน เช่าสินเชื่อ มหาชน ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และยังมีฐานะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลาว ซึ่งมีความสามารถในการทำกำไรสุทธิในระดับสูง จะช่วยสนับสนุน ALPHAX มีรายได้ และกำไรเติบโตอย่างก้าวกระโดด” นายธีร กล่าว

สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2565  บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 200% โดยจะมุ่งเน้นพัฒนาทั้ง 3 ธุรกิจ โดยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ปีนี้จะรับรู้รายได้ประมาณ 600 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 40% แต่ในปี 2566 จะปรับสัดส่วนเหลือ 25% ขณะที่ ธุรกิจกัญชง-กัญชา คาดว่าจะได้ใบอนุญาตการสกัดภายในไตรมาส 1/2565 และจะเร่งเปิดตัวลูกค้าที่เป็นพันธมิตร เพื่อเร่งวิจัยและพัฒนาสารสกัดให้พร้อมสำหรับเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่เป็น Production scale ซึ่งที่จะเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าในปีนี้ธุรกิจดังกล่าวจะรับรู้รายได้ประมาณ 600 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 40% และปี 2566 ธุรกิจนี้จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ขึ้นไปที่ 70%  ส่วนธุรกิจไฟแนนซ์ที่ สปป.ลาว วางเป้าหมายเบื้องต้นไว้ว่าจะเข้าไปทำการตลาดให้มากขึ้น รวมทั้งขยายผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น นาโนไฟแนนซ์ และ เครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นต้น  ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะมีการรับรู้รายได้จากบริษัท มะหะทุน เช่าสินเชื่อ มหาชน สัดส่วน 20% ซึ่งแต่ละปีจะมีกำไรจากการดำเนินงานไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*