พีซแอนด์ลีฟวิ่งฯ เผยรัฐผ่อนคลายมาตรการเป็นผลบวกภาพรวมตลาดอสังหาฯ ความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบสัดส่วนมากถึง  60% ส่วนตลาดคอนโดฯต้องใช้เวลาฟื้นตัวและการกลับมาของนักลงทุน เปิดแผน 2 ปี จ่อผุด 3 โครงการแนวราบ มูลค่ารวม  3,045 ล้านบาท เตรียมเสนอขายหุ้น IPO 84 ล้านหุ้น กลางเดือนก.พ.65 นี้ เดินหน้าเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รุกสร้างความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงินเพิ่มขีดความสามารถในการขยายธุรกิจ รองรับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ หวังก้าวเป็นอสังหาริมทรัพย์แนวราบชั้นนำของไทย
นายประสพศักดิ์ ศิริโสภณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PEACE เปิดเผยว่า มาตรการของภาครัฐในการขยายเวลาการลดค่าธรรมเนียมการจดจำนองและการโอน จาก 1% เหลือ 0.01% มีผลตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 รวมไปถึงการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ประกาศผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) เป็นการชั่วคราว โดยกำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) เป็น 100% (กู้ได้เต็มมูลค่าหลักประกัน) สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย มูลค่าหลักประกันต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป  และ  กรณีมูลค่าหลักประกันตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป โดยมีผลถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 นั้น ถือว่าเป็นผลดีต่อภาพรวมอสังหาฯและบริษัทฯด้วย

โดยมองถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯแนวราบว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบแนวโน้มมากถึง  60% จากอดีตที่มีสัดส่วนเพียง 40% เชื่อว่าเทรนด์นี้ยังอยู่อีกระยะหนึ่ง โดยเฉพาะโครงการแนวราบในพื้นที่รอยต่อเมือง เพราะรถไฟฟ้ามีการขยายตัวไปรอบนอกมากขึ้น ทำให้มีส่วนแบ่งตลาดจากเรียลดีมานด์ที่มากขึ้น ส่วนตลาดคอนโดฯคงใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวอีกระยะหนึ่งเมื่อกลุ่มนักลงทุนกลับมา

สำหรับแผนการลงทุนของบริษัทในปี 2565-2566 มีแผนจะเปิดตัว 3 โครงการใหม่  มูลค่าโครงการรวม 3,045 ล้านบาท คือ

1.Cherene กรุงเทพกรีฑา–ร่มเกล้า ตั้งอยู่บนพื้นที่ 20 ไร่  เป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 83 ยูนิต ราคา 7-10 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 648 ล้านบาท

2.Cherene Vicinity ราชพฤกษ์–เจษฎาบดินทร์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 40 ไร่  บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม รวมจำนวนประมาณ 300 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 3-10 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,845 บาท

3.Cher ราชพฤกษ์–พระราม5 ตั้งอยู่บนที่ดิน 12 ไร่เศษ  เป็นทาวน์โฮม 2-3 ชั้น  จำนวน 130 กว่ายูนิต ราคาเกือบ 3.5-4.5 ล้านบาท มูลค่า 552 ล้านบาท

ปัจจุบันบริษัทฯ โดยมีทุนจดทะเบียน 420 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท โดยมีทุนเรียกชำระแล้ว 336 ล้านบาท คิดเป็นหุ้นสามัญจำนวน 336 ล้านหุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2565 นี้ จำนวนไม่เกิน 84 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.00 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะนำ PEACE จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในไตรมาสแรกของปี 2565 นี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ ภายหลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ไปใช้เพื่อเป็นเงินลงทุนซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัทฯ ซึ่งจะเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงินและเพิ่มขีดความสามารถในการขยายธุรกิจ รองรับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ตลอดจนก้าวเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบชั้นนำของไทย  โดยตั้งเป้าหมายการเติบโต 2 เท่าภายใน 3 ปี และ 3 เท่า ภายในระยะเวลา 5 ปี

บริษัทฯ ยึดมั่นในวิสัยทัศน์ขององค์กร คือ การประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์สินค้า ให้สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน คู่ค้า เพื่อให้ทุก ๆ ส่วนได้รับประโยชน์ที่ดีอย่างที่ควร ผ่านการวางกลยุทธ์สร้างการเติบโต 3 รูปแบบ ได้แก่

1.) กลยุทธ์ทางด้านผลิตภัณฑ์ พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ หลากหลายเซ็กเมนต์ทั้งประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย พร้อมสำรวจความต้องการซื้อและการแข่งขันในตลาดในปัจจุบัน (Demand & Supply) โดยทีมวิจัยตลาดภายในของบริษัทฯ เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์พฤติกรรมกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในพื้นที่ ก่อนการพัฒนาโครงการ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ และให้ความสำคัญกับการออกแบบบ้านให้มีพื้นที่ใช้สอยรองรับความต้องการในการอยู่อาศัยในปัจจุบันและอนาคต

2.)กลยุทธ์ทางด้านราคา บริษัทฯ ได้คัดสรรที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพในด้าน ทำเลที่ตั้ง ขนาดที่ดิน และราคาที่ดิน มีการศึกษาความเป็นไปได้โครงการ (Feasibility) เพื่อนำมาพิจารณาในการซื้อที่ดินเพื่อให้ได้ราคาที่เหมาะสม และเป็นราคาที่สามารถพัฒนาโครงการและแข่งขันได้ พร้อมกำหนดราคาโดยคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อม ได้แก่ ต้นทุน ศักยภาพโครงการ สภาพการแข่งขัน แนวโน้มราคาที่ดิน และอัตรากำไรที่เหมาะสมสำหรับอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย (Residential real estate industry) ที่สอดคล้องกับความสามารถในการซื้อของลูกค้า ภายใต้แนวคิด “ที่ดินทุกผืนมีผืนเดียวบนโลก” ทำให้บริษัทฯ สามารถปิดการขายภายในระยะเวลาตามแผนของโครงการ

3.) กลยุทธ์ทางด้านสื่อสารการตลาดและส่งเสริมการขาย มีการวิเคราะห์ข้อมูลภาวะอุตสาหกรรมและวิจัยตลาดอย่างสม่ำเสมอ (Market Research) โดยละเอียด เพื่อวางกลยุทธ์ทางด้านการตลาดตั้งแต่การพัฒนาโครงการจนถึงงานขาย และเพื่อให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของภาวะอุตสาหกรรม สภาวะตลาด การแข่งขันในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต และให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่กำหนด โดยเลือกใช้สื่อโฆษณาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะทำการสื่อสาร พร้อมติดตามประสิทธิภาพเพื่อปรับแผนการตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ จากกลยุทธ์ที่ได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้รับความเชื่อถือ มีผลประกอบการสม่ำเสมอ และมีการบริหารพอร์ตสินค้าคงเหลือได้เป็นอย่างดี จึงสามารถขายบ้านและปิดการขายโครงการที่ผ่านมาได้ทั้งหมด ตามเป้าหมายที่วางไว้

นายฉันทวิทย์ โอฬารรัตนชัย
นายฉันทวิทย์ โอฬารรัตนชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการเงินและบริหารทั่วไป บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PEACE กล่าวว่า แนวคิดของการพัฒนาโครงการภายใต้ พีซแอนด์ลีฟวิ่ง มีการกำหนดแนวทางและระยะเวลาในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ชัดเจน และสามารถดำเนินการตามแผนดังกล่าวได้ตามเป้าหมาย โดยมีแนวทางในการเริ่มเปิดขายโครงการภายใน 12-15 เดือน นับจากวันที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินสำหรับการพัฒนา และมีเป้าหมายในการปิดโครงการ หรือการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้าร้อยละ 100 ภายใน 2 -3 ปี (สำหรับโครงการที่มีจำนวนยูนิตไม่เกิน 200 ยูนิต) และภายใน 3-5 ปี (สำหรับโครงการที่มีจำนวนยูนิตเกิน 200 ยูนิต)

บริษัทฯ สามารถสร้างผลการดำเนินงานให้เติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอด ทั้งรายได้และการทำกำไรสุทธิ จากปี 2562 ที่มีรายได้รวม 429.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 866.88 ล้านบาทในปี 2563 และในงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 809.57 ล้านบาท เติบโต 40.82% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 574.86 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิปี 2562 อยู่ที่ 31.51 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 133.71 ล้านบาทในปี 2563 และงวด 9 เดือนของ 2564 มีกำไรสุทธิ 150.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.68% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 86.30 ล้านบาท โดยเป็นผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากการทยอยรับรู้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการต่างๆ อาทิ โครงการ Cher งามวงศ์วาน – ประชาชื่น, โครงการ Cher สุขสวัสดิ์ – พุทธบูชา เป็นต้น ซึ่ง ณ 30 กันยายน 2564 บริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ 7 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,717 ล้านบาท มียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) 600 ล้านบาท ประกอบกับบริษัทมีการบริหารสัดส่วนหนี้ต่อทุน (D/E) และมีอัตราดอกเบี้ยจากเงินกู้ยืม (Cost of Fund) ค่อนข้างต่ำ อยู่ในระดับเดียวกับบริษัทชั้นนำของอุตสาหกรรม ทำให้บริษัทมีศักยภาพในการซื้อที่ดิน สำหรับรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคตได้เป็นอย่างดี

นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า PEACE เป็นผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่ได้สั่งสมประสบการณ์ความเชี่ยวชาญมากว่า 30 ปี ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จากจุดเริ่มต้นในปี 2532 ที่พัฒนาโครงการประเภทรีสอร์ท ที่จังหวัดกาญจนบุรี และประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้นับจากอดีตถึงปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการมาแล้วรวมทั้งสิ้น 22 โครงการ ถือเป็นการผสมผสานของทีมผู้บริหาร 2 รุ่น ที่ช่วยพัฒนาแบรนด์ให้แข็งแกร่ง รักษาอัตราการเติบโตในระยะยาว พร้อมให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพในทุกขั้นตอน การจัดตั้งนิติบุคคล และบริการหลังการขาย ส่งผลทำให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างดีมากในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีความน่าเชื่อถือ ระบบการเงินมั่นคง ไม่เคยประสบปัญหาหนี้ NPL กับสถาบันการเงินแม้แต่ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*