TTA มั่นใจตลาดอสังหาฯส่งสัญญาณฟื้นตัว ต่างชาติยังให้ความสนใจลงทุนในไทย ด้านกลุ่มคันเดนฯเชื่อตลาดที่อยู่อาศัยไทยโตต่อต่อเนื่อง ปี69 จะเป็นที่น่าจับตามองระดับโลก  คอนโดฯลักชัวรี่ ราคามากกว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตร ยังเป็นที่ต้องการของนักลงทุน โต้125 Sathorn”  ดำเนินการอย่างโปร่งใสตามทุกขั้นตอนกฎหมาย พร้อมให้ตรวจสอบเอกสารกว่า 8,000 หน้า คาดปลายปี65 ยอดขายแตะ 3,000 ล้านบาท
นางสาวอุษณา มหากิจศิริ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA เปิดเผยว่า บริษัทฯมีเป้าหมายที่จะขยายโอกาสการลงทุนไปยังหลากหลายธุรกิจ นอกเหนือจากกลุ่มธุรกิจที่ได้เข้าไปลงทุนกว่า 5 กลุ่มธุรกิจ ทั้งธุรกิจชิปปิ้ง น้ำมันและก๊าซ อาหาร และธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย ตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกกลุ่มธุรกิจที่ TTA เล็งเห็นถึงศึกยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต จากสัญญาณการฟื้นตัวตลาด   ที่อยู่อาศัยที่เริ่มส่งสัญญาณบวก รวมถึงสถานการณ์โควิด 19 ที่เริ่มคลี่คลายมากขึ้น รวมถึงนโยบายกระตุ้นอสังหาฯ ทั้งจากภาครัฐและเอกชนช่วยให้เอื้อต่อการซื้อ-ขายมากขึ้น อาทิ การลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองทั้ง   บ้านใหม่และบ้านมือสอง รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value Ratio : LTV) ชั่วคราวของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้เริ่มเห็นผู้ประกอบการอสังหาฯ ทยอยเปิดตัวโครงการใหม่ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ในการร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกในครั้งนี้ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าเมื่อผนวกจุดแข็งความร่วมมือกันของทั้งสามฝ่ายระหว่าง TTA, KRD และ TCC จะสามารถสร้างเอกลักษณ์และคุณค่าใหม่ให้กับตลาดอสังหาฯ ในประเทศไทยได้

โดยภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 2565  นั้นมองว่า มีแนวโน้มดีขึ้น จากช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา เพราะได้ผ่านช่วงจุดต่ำสุดมาแล้ว ประกอบกับภาครัฐได้ประกาศเปิดประเทศแล้ว เชื่อว่าในครึ่งปีหลังจะยิ่งสามารถทำยอดขายได้มากขึ้น โดยเฉพาะชาวต่างชาติอย่างญี่ปุ่น หากลงทุนซื้ออสังหาฯในญี่ปุ่น จะได้ผลตอบแทนต่อปีเพียง 2.6% แต่หากซื้ออสังหาฯในไทย จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนต่อปีมากถึง 4-5% ขณะที่ประเทศจีน ลงทุนซื้ออสังหาฯในประเทศจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนเพียง 2.1% จึงทำให้ชาวจีนเข้ามาลงทุนซื้ออสังหาฯในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก รองจากสหรัฐ,ออสเตรเลีย และฮ่องกง  คิดเป็นจำนวน 15,000 ยูนิต มูลค่าประมาณ 75,000 ล้านบาท หรือประมาณ 5 ล้านบาท/ยูนิต ส่วนใหญ่จะซื้อลงทุนในพื้นที่กรุงเทพฯ,พัทยา,สัตหีบ และเชียงใหม่ เป็นต้น ดังนั้นโอกาสที่โครงการ “125 Sathorn”จะประสบความสำเร็จจึงมีสูง

นายเคนอิจิ ฟูจิโนะ ประธานกรรมการ บริษัท คันเดน เรียลตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (KRD) กล่าวว่า การก่อตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งแรกของ KRD กับพันธมิตรในเมืองไทย จะทำให้ทุกฝ่ายได้นำเสนอจุดแข็งร่วมกัน โดยในส่วนของคันเดนฯ จะพยายามส่งเสริมธุรกิจผ่านการใช้แนวทางการดำเนินงานที่บริษัทฯ สั่งสมมาจากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งในญี่ปุ่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตลาดอื่น ๆ ทั่วโลก อาทิ สหรัฐฯ และออสเตรเลีย รวมกว่า 50,000 ยูนิต ด้วยความสำเร็จของโครงการ Mix-Used เป็นผลงานการันตีความสำเร็จชั้นยอดในธุรกิจอสังหาฯของ KRD โดยคาดการณ์ว่าตลาดที่อยู่อาศัยในไทยจะเติบโตต่อไปอย่างต่อเนื่อง และประเทศไทยยังถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในตลาดสำคัญสำหรับการลงทุนในต่างประเทศของ KRD ได้จัดตั้งสำนักงานเพื่อดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้มั่นใจว่าเมื่อ TTA, KRD และ TCC ร่วมมือกัน จะสามารถส่งมอบคุณค่าใหม่สู่ตลาดคอนโดมิเนียมในไทย และมั่นใจว่าโครงการ “125 Sathorn” จะขึ้นแท่นเป็นโครงการระดับแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ

“เชื่อว่าในปี 2569 ประเทศไทยจะเป็นที่น่าจับตามองระดับโลก โดยปัจจุบันประเทศไทยมีชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่มากกว่า 80,000 คน และมากกว่า 5,000 บริษัท ซึ่งจากประสบการณ์การทำงานในประเทศไทย เชื่อว่าจะช่วยกันสร้างมูลค่าการเติบโตให้กับคอนโดฯในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี และ 125 Sathorn และกลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ” นายเคนอิจิ กล่าว

นายภัทร์กร วงศ์สวรรค์
ด้าน นายภัทร์กร วงศ์สวรรค์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด(มหาชน) หรือ TTA  กล่าวว่า ในครึ่งปีแรก 2565 ภาพรวมอสังหาฯมีประมาณ 38,000 ยูนิต คิดเป็นอัตราการเติบโต 227.5% จะเห็นว่าผู้ประกอบการเริ่มมีความมั่นใจในการกลับมาพัฒนาโครงการมากขึ้น คาดว่าในครึ่งปีหลัง หลังจากที่ภาครัฐผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ทำให้ชาวต่างชาติเริ่มกลับมาลงทุนมากขึ้น คาดว่าตลาดลักชัวรี่ ระดับราคามากกว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตร จะเป็นที่ต้องการของนักลงทุน และหวังว่าโครงการ “125 Sathorn”จะสามารถตอบสนองดีมานด์ได้ดี โดยคาดว่าจะมีลูกค้าชาวต่างชาติสัดส่วนประมาณ 20-30% ซึ่งในจำนวนดังกล่าวคาดหวังว่าจะเป็นชาวญี่ปุ่นประมาณ 50% ที่เหลือจะเป็นชาวยุโรป และตั้งเป้ายอดขาย 3,000 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2565 นี้

โครงการ “125 Sathorn” ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 3.1 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯ สูง 36 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ขนาดตั้งแต่ 28.5-330 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 5.9 ล้านบาทขึ้นไป โดยห้องเพ้นท์เฮาส์ยังไม่สามารถเปิดเผยราคาได้ คาดว่าจะสรุปได้ประมาณไตรมาส 3/2565 มีจำนวนทั้งหมด 755 ยูนิต มูลค่าโครงการ 8,000 ล้านบาท

โดยโครงการ 125 สาทร เป็นคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ บนทำเลใจกลางสาทร ซึ่งเป็นทำเลที่มีดีมานด์สูง และมีซัพพลายคอนโดฯเปิดใหม่ค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะทำเลหน้ากว้างติดถนนกว่า 97 เมตรซึ่งแทบจะหาที่ดินติดถนนใจกลางเมืองเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาฯ ได้น้อยมาก ด้วยราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นทุกปี ล่าสุดที่ดินย่านสาทรกระโดดพุ่งสูงเป็นอันดับที่ 2 ของราคาที่ดินทั่วกรุงเทพฯ ด้วยราคา 2.5 ล้านบาท ต่อตารางวา และมีแนวโน้มปรับราคาเพิ่มเฉลี่ยปีละ 2-3 % ด้วยศักยภาพที่ยังไม่สิ้นสุด จากการแวดล้อมด้วยคอมมูนิตี้ชั้นนำ และสิ่งอำนวยความสะดวกมากที่สุด ตลอดจนโครงการเมกะโปรเจกต์ใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ที่จะเข้ามาสร้างสีสัน และเติมเต็มการใช้ชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ของคนในพื้นที่มากขึ้น ทำให้ย่านนี้เป็นที่ต้องการอย่างมากในกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงในระดับราคาที่เข้าถึงได้

“ช่วงการพัฒนาแนวคิดของโครงการ 125 Sathorn เป็นช่วงสถานการณ์โควิด ทำให้เราได้ศึกษาถึงพฤติกรรม  การเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคมที่ได้รับผลกระทบทั้งในเรื่องของสถานที่ทำงาน สถานที่การใช้ชีวิตเพื่อสอดรับกับไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะในสังคมเมือง ที่ผู้คนต่างมองหาสถานที่ที่สาม (Third Place) นอกเหนือจากบ้านและที่ทำงาน เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันจึงเป็นที่มาของการวิเคราะห์ความต้องการของผู้พักอาศัยในยุคโควิด-19  นำไปสู่การดีไซน์และออกแบบฟังก์ชั่นต่างๆ ของพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ 125 Sathorn ให้ผู้พักอาศัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายและตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้ที่บ้าน โดยมองว่าเมื่อบ้านไม่ได้เป็นแค่ที่พักอาศัยอย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นศูนย์รวมของกิจกรรมการใช้ชีวิตโดยรวม จะทำอย่างไรที่จะรวมสถานที่  ทั้งสามแห่ง เพื่อการใช้ชีวิตของผู้คน ทั้ง First, Second และ Third Place เข้ามารวมไว้ด้วยกัน”นายภัทร์กร กล่าว

นายภัทร์กร กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีที่เจ้าของร่วมโครงการ “THE MET” ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง  คัดค้านการอนุมัติการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการ “125 Sathorn”  เรียกร้องขอให้ตรวจสอบความโปร่งใสของกระบวนการอนุมัติรวดเร็วผิดปกตินั้น ว่า ทางโครงการ “125 Sathorn”  ยินดีให้ตรวจสอบเอกสารจำนวนกว่า 8,000 หน้า ซึ่งมั่นใจว่าทุกอย่างดำเนินการอย่างโปร่งใส โดยใช้ระยะเวลาในการยื่นของ EIA ตามมาตรฐานคือระยะเวลา 1 ปี โดยดำเนินการถูกต้องภายใต้กฎหมายและพยายามให้เกิดการกระทบกับเพื่อนบ้านน้อยที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาเมื่อมีการออกแบบโครงการเสร็จเรียบร้อย จะต้องส่งให้กับทางสถานทูตสิงคโปร์ตรวจสอบก่อน ซึ่งก็ผ่านหมดทุกอย่าง

“ที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐเองก็ได้มีการแถลงชี้แจงให้รับทราบแล้วว่า การดำเนินการทุกอย่างพิจารณาอย่างโปร่งใส่และดำเนินการภายใต้กฎเกณฑ์ของกฎหมายทุกฉบับ ส่วนลูกค้าเองก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะก่อซื้อโครงการทุกคนก็ต้องมีการค้นคว้าข้อมูลก่อนอยู่แล้ว ซึ่งบริษัทก็มีข้อมูลให้ตรวจสอบ โดยลูกค้าก็เข้าใจและไม่เปลี่ยนใจในการตัดสินใจซื้อ และมั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาเหมือนกับโครงการคอนโดฯในย่านสุขุมวิทอย่างแน่นอน ด้านการก่อสร้างก็จะเป็นไปตามแผน คือก่อสร้างประมาณปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566 และแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 4 ปี” นายภัทร์กร กล่าวในที่สุด

 

เกี่ยวกับ บริษัท พีเอ็มที พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (PMT)

บริษัท พีเอ็มที พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด หรือ PMT เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA บริษัทเพื่อการลงทุนในเชิงกลยุทธ์ในไทย ร่วมกับสองบริษัทผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่น ได้แก่ บริษัท คันเดน เรียลตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (KRD) และ บริษัท โทเร คอนสตรัคชั่น จำกัด (TCC) ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ พีเอ็มที พร็อพเพอร์ตี้ ก่อตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมหรูมูลค่าสูงระดับเวิลด์คลาสในกรุงเทพฯ โดยโครงการแห่งแรกที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาคือ “โครงการ 125 สาทร”

 

เกี่ยวกับ บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA

บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA เป็นบริษัทเพื่อการลงทุนในเชิงกลยุทธ์ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นโยบายการลงทุนของบริษัทฯ คือการสร้างความเติบโตอย่างสมดุลให้กับพอร์ตการลงทุน จึงมีการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมทั้งในประเทศและต่างประเทศ พอร์ตการลงทุนในปัจจุบันประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจขนส่งสินค้าทางเรือ กลุ่มธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่ง กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มการลงทุนอื่น

 

เกี่ยวกับ บริษัท คันเดน เรียลตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (KRD)

บริษัท คันเดน เรียลตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด หรือ KRD เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท คันไซ อิเลคทริค เพาเวอร์ จำกัด (KEP) ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น โดย KRD มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้ครอบคลุมพื้นที่ในแถบคันไซ โตเกียว เซนได และตลาดต่างประเทศ

 

เกี่ยวกับ บริษัท โทเรคอนสตรัคชั่น จำกัด (TCC)

บริษัท โทเร คอนสตรัคชั่น จำกัด หรือ TCC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท โทเร อินดัสตรีส์ อิงค์ ก่อตั้งขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี ค.ศ. 1982 ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการออกแบบ ก่อสร้าง ควบคุม และงานวิศวกรรมโยธา นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้บริการเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม โครงการบ้าน รวมถึงมีบริหารให้คำปรึกษาด้านสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และด้านการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*