สัมมากรฯเผยดีมานด์ยังมีความต้องการบ้านแนวราบสูงถึง 48% ประกาศแผนปี 65 ปั้น 7 แบรนด์ใหม่  9 โครงการ 4 เซกเมนต์ มูลค่าโครงการรวมกว่า 10,000 ล้านบาท มากสุดในรอบ 52 ปี หวังขยายฐานครอบคลุมตลาดบนทุกระดับราคา อนาคตสนพัฒนาคอนโดฯระดับกลางต่อเนื่อง คาดเห็นความชัดเจนในปี 67 ระบุ 6  เดือนแรกกวาดยอดขายแล้ว 1,500 ล้านบาท เติบโต 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 42% จากเป้ายอดขายทั้งปีที่วางไว้ 3,500 ล้านบาท และเป้ารายได้รวมที่ 2,500 ล้านบาท
นายณพน เจนธรรมนุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO เปิดเผยว่าที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะเผชิญหน้ากับวิกฤติต่างๆ แต่คนไทยยังตัดสินใจที่จะเลือกซื้อบ้านซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญของการใช้ชีวิต และบ้านยังเป็นตลาดเรียลดีมานด์เสมอ โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พบว่าตลาดแนวราบ ดีมานด์ยังมีความต้องการมาก และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นถึง 48% โดยเฉพาะตลาดลักชัวรี ดังนั้นในช่วงนี้ยังเป็นโอกาสของผู้ซื้อ ก่อนที่ราคาที่อยู่อาศัยจะปรับสูงขึ้น ตามอัตราดอกเบี้ยและวัสดุก่อสร้าง ที่จะมีการปรับตัวสูงขึ้น

ดังนั้นสัมมากรฯจึงเดินหน้าเต็มที่ในการริเริ่มสิ่งใหม่ๆ เพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งเน้นการพัฒนาบุคลากรควบคู่กับการพัฒนาโปรดักส์ โดยในปี 2565 นี้มีการโฟกัสตลาดบ้านเดี่ยว โดยจัดพอร์ตธุรกิจเพื่อจัดทำกลุ่มแบรนด์โปรดักส์ (Brand Segmentation) ให้มีความหลากหลาย มากขึ้น ด้วยการออก 7 แบรนด์ใหม่ จำนวน 9 โครงการ รวมพื้นที่ประมาณ 210 ไร่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 10,000 ล้านบาท ถือว่าเป็นการเปิดตัวโครงการมากที่สุดในรอบ 52 ปี ตั้งแต่เปิดบริษัทมา

 

ทั้งนี้ สัมมากรฯได้วาง 4 เซกเมนต์ใหม่ในการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว แบ่งเป็น

1.กลุ่ม Super Luxury เปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวมทั้งหมด 505 ล้านบาท ได้แก่ แบรนด์ One Gate”ตั้งอยู่โซนเอกมัย-รามอินทรา บนพื้นที่ทั้งหมด 500 ตารางวา พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว ขนาด 120-150 ตารางวา จำนวน 3 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 95-135 ล้านบาท มูลค่โครงการ 335 ล้านบาท และ แบรนด์ Two Ekkamai” ตั้งอยู่ในซอยเอกมัย 10 หรือซอยสุขุมวิท 65 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 120 ตารางวา เป็นโครงการสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มีเพียง 2 ยูนิต ราคาอยู่ที่ 85 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 170 ล้านบาท

2.กลุ่ม Luxury เปิดตัว 2 โครงการใหม่มูลค่ารวมทั้งหมด 2,210 ล้านบาท ได้แก่ แบรนด์ PROVIDENCE  LANE”ตั้งอยู่บนพื้นที่ 3 ไร่ ย่านเอกมัย-รามอินทรา ราคาขายเริ่มต้นที่ 39 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท ปัจจุบันเหลือขายเพียง 3 ยูนิตเท่านั้น และแบรนด์ Park Heritage” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 12 ไร่ บริเวณซอยพัฒนาการ 20 พัฒนาในรูปบ้านแบบวิลล่าหรู 3 ชั้น สไตล์ Modern Classic ราคาเริ่มต้น 49 ล้านบาท จำนวน 35 ยูนิต โครงการ 2,210 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวประมาณไตรมาส 3/2565

3.กลุ่ม High-end เปิดตัว 2โครงการใหม่ มูลค่ารวม 2,900 ล้านบาท ได้แก่ แบรนด์ Barn Yard”บ้านที่ออกแบบด้วยแนวคิด Classic American Farmhouse กับโลเคชั่นใกล้อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ตั้งอยู่บนพื้นที่ 30 กว่าไร่ ราคาเริ่มต้นที่ 15.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท และอีกหนึ่งแบรนด์ใหม่(Upcoming Project) ตั้งอยู่ย่านกรุงเทพกรีฑา บนพื้นที่ 29 ไร่ พัฒนาในรูปแบบบ้านสไตล์โมเดิร์นคลาสสิก ขนาด 100 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 30 ล้านบาท จำนวน 64 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวไตรมาส 4/2565

4.กลุ่ม Upscale เปิด 4 โครงการใหม่ 2 แบรนด์ มูลค่ารวมทั้งหมด 4,440 ล้านบาท ได้แก่ แบรนด์ Anapana” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 41 ไร่ ติดถนนลาดกระบังและอยู่ใกล้กับมอเตอร์เวย์ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว ราคาเริ่มต้นที่ 7 ล้านบาท จำนวน 162 ยูนิต  มูลค่าโครงการ 1,540 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส 3/2565  และ แบรนด์ “Mitti” ซึ่งจะมาทดแทนแบรนด์ “สัมมากร” มีด้วยกัน 3 โครงการ ใน 3 ทำเล มูลค่ารวม 2,900 ล้านบาท  ได้แก่ ชัยพฤกษ์-วงแหวน, ราชพฤกษ์ 346 และรังสิต คลอง 6 ราคาเริ่มต้นที่ 5.99 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส 4/2565  

นอกจากนี้ในอนาคตบริษัทฯยังสนใจที่จะพัฒนาโครงการประเภทคอนโดฯอีกอย่างต่อเนื่อง จากก่อนหน้านี้ที่เคยพัฒนาโครงการระดับเล็กไปแล้ว 1 โครงการ ซึ่งคงต้องรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวและนักลงทุนชาวต่างชาติกลับมาก่อน หากพัฒนาคงเป็นคอนโดฯระดับกลาง ซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการของดีมานด์ คาดว่าคงจะมีความชัดเจนได้ประมาณปี 2567

“ต่อไปเราจะไม่ใช้แบรนด์ สัมมากร ในการพัฒนาโครงการแล้ว แต่จะมีแบรนด์ใหม่ๆที่มีความทันสมัย แต่ยังคงเป็น Subbrand ของสัมมากร เพื่อสร้างการรับรู้สู่ผู้บริโภค ในด้านการพัฒนาเอง ด้วยการที่เราเป็นผู้ประกอบการรายกลาง จึงไม่มีกรอบมาก สามารถพัฒนาโครงการใหม่ที่ลูกค้าต้องการได้  และดูแลได้ทั่วถึงทุกโครงการ”นายณพน กล่าว

ทั้งนี้สัมมากรได้วางเซกเมนต์ของโปรดักส์ให้ครอบคลุมมากที่สุด พร้อมทั้งขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มระดับลักชัวรี่ขึ้นไป เพราะเป็นกลุ่มที่มีดีมานด์เติบโตต่อเนื่อง โดยทุกโครงการสัมมากรจะเลือกทำเลที่ดีที่สุดของการอยู่อาศัย สามารถเดินทางได้สะดวกในหลากหลายเส้นทาง มีสังคมที่น่าอยู่และปลอดภัย รวมถึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับเรื่องการออกแบบที่ผ่านกระบวนการ Design Thinking ซึ่งเน้นด้านฟังก์ชันด้วยการออกแบบที่สอดรับกับการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยในแต่ละเซกเมนต์และแต่ละกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวใหญ่ ครอบครัวเล็ก หรือครอบครัวที่มีหลายเจเนอเรชั่นอยู่ร่วมกัน โดยมีหลายแบรนด์ เช่น One Gate, Two Ekkamai และ Park Heritage ได้ทำงานร่วมกับสถาปนิกที่มีรางวัลการันตีทั้งในระดับประเทศและระดับโลก เพราะสัมมากรต้องการให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกเหมือนได้เหมือนซื้อผลงานมาสเตอร์พีซ (Master Piece) ของผู้ออกแบบ ซึ่งยังสะท้อนคุณค่าและตัวตนของผู้อยู่อาศัยอีกด้วย

“ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา สัมมากรเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยประมาณปีละ 10% โดยปัจจุบัน (วันที่ 1 มกราคม – วันที่ 30 มิถุนายน 2565) สามารถสร้างยอดขายรวมทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท เติบโต 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 42% จากเป้ายอดขายทั้งปีที่วางไว้ 3,500 ล้านบาท และเป้ารายได้รวมที่ 2,500 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันเราสามารถขยายธุรกิจออกไปได้กว้างกว่าเดิม มีการเพิ่มโปรดักส์และเซกเมนต์ที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้ครอบคลุม โดยการเติบโตและความสำเร็จ ที่เกิดขึ้นมาจากการที่เรามีวิธีการทำงานแบบAgile และเป็นรูปแบบ Scrum Team ทำให้การทำงานมีความคล่องตัว มีกระบวนการทำงานเร็วขึ้น ส่งผลให้เห็นประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานได้ไวกว่าเดิม รวมถึงเราได้เพิ่มทักษะเรื่อง Design Thinking เพื่อต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ และเสริมกระบวนการคิดในการพัฒนางานด้านต่างๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พนักงานของสัมมากรมีความครบเครื่อง สามารถสร้างสรรค์โปรเจกต์ใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งด้วยทีมงานที่มีศักยภาพสูง บวกกับการขยายพอร์ตโปรดักส์ที่มากขึ้นจะเป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนสัมมากรให้เติบโตในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน” นายณพน กล่าวในที่สุด

อนึ่ง ปัจจุบันสัมมากรฯมีแบรนด์ใหม่ทั้งหมด 8 แบรนด์ โดยแบ่งตามเซกเมนต์ ดังนี้ 1.กลุ่ม Super Luxury ได้แก่ One Gate, Two Ekkamai 2.กลุ่ม Luxury ได้แก่ PROVIDENCE LANE (เปิดตัวไปเมื่อ Q4/2564), Park Heritage 3.กลุ่ม High-end ได้แก่ Barn Yard, Upcoming Project (อยู่ระหว่างดำเนินการ) และ 4.กลุ่ม Upscale ได้แก่ Anapana, Mitti

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*