สิงห์ เอสเตทฯเผยภาพรวมเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว เชื่อปี 66 นักท่องเที่ยวจีนกลับมาแน่ ด้านความต้องการคอนโดฯฟื้นตัวเร็วเกินคาดถึง 6 เดือน ตั้งเป้าปีหน้ารุกตลาดแนวราบเต็มสูบ 3 โครงการ 3 เซกเมนต์  2 แบรนด์ใหม่ ราคาตั้งแต่ 20-100 กว่าล้านบาท พร้อมเพิ่มสัดส่วนเป็น 60% ด้านธุรกิจอาคารสำนักงาน พบ WFH ไม่ใช่ทางออก แต่การจัดสรรพื้นที่จะตอบโจทย์การทำงานแบบใหม่ มีไลฟ์สไตล์
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด(มหาชน)หรือ S เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศไทยในปี 2565 ว่า เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น เนื่องจากประเทศไทยมีลักษณะธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งด้านเกษตรกรรม การท่องเที่ยว และการส่งออก ดังนั้นการฟื้นตัวต้องใช้ระยะเวลา โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวมองว่าเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นเช่นกัน ซึ่งภาครัฐก็ให้การสนับสนุนภาคธุรกิจ เชื่อว่าในปี 2566 ภาคธุรกิจจะกลับมาสู่สภาวะปกติ และนักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาอย่างแน่นอน  อย่างไรก็ตามแม้ว่าในช่วงนี้นักท่องเที่ยวจีนจะยังไม่กลับมา แต่ก็ยังมีลูกค้ากลุ่มใหม่ๆมาทดแทน อาทิ รัสเซีย และกลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลาง เป็นต้น

สำหรับในส่วนของสิงห์ เอสเตทฯนั้น ที่ผ่านมาวิกฤติโควิด-19 ส่งผลให้นักลงทุนชะลอตัวไปบ้าง แต่ต้องยอมรับว่าอสังหาฯเป็นธุรกิจที่เป็นวัฏจักร มีวงจรที่สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ  อัตราดอกเบี้ย และสภาวะเงินเฟ้อ แต่อสังหาฯถือเป็นปัจจัยสี่ ที่ทุกคนต้องมี เพียงแต่รูปแบบของการลงทุนจะต่างไป แม้ว่าในช่วงวิกฤติที่ผ่านมาจะทำให้การซื้อบ้านหลังที่ 2-3 ชะลอตัวไปบ้างก็ตาม

ส่วนความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม มองว่ากลับมาฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์ถึง 6 เดือน สังเกตได้ว่ามีการจองห้องชุดได้เร็วขึ้น ส่วนที่อยู่อาศัยแนวราบนั้น ตั้งแต่ปี 2566 บริษัทฯจะรุกตลาดดังกล่าวมากขึ้น โดยเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาขึ้นไปที่ 60% และคอนโดฯอยู่ที่ 40%

“ตอนนี้เป็นตลาดของผู้ซื้อ เนื่องจากมีที่อยู่อาศัยในตลาดให้เลือก ทั้งที่เป็นซัพพลายคอนโดฯ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก จากข้อมูลล่าสุดพบว่า อัตราการดูดซับของตลาดในเชิงของคอนโดฯ กลับมาเร็วกว่าที่คิดไว้ถึง 6 เดือน มียอดโอนกรรมสิทธิ์ที่เริ่มปรากฏแล้ว และคนเริ่มเคลียร์เรื่องผลประโยชน์ทางภาษี ไม่ต้องลุ้นแล้ว ประกอบกับสภาวะตลาดน่าลงทุน” นางฐิติมา กล่าว

โดยแผนปี 2566 จะมีการเปิดตัวบ้านหรูประมาณ 3 โครงการ 3 เซกเมนต์ และมี 2 แบรนด์ใหม่ ราคาตั้งแต่ 20-100 กว่าล้านบาท  ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เปิดเผยทำเล พัฒนาการไปแล้ว พัฒนาภายใต้แบรนด์ “ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส”ราคาขายอยู่ที่ 50-80 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,600 ล้านบาท ส่วนอีก 2 ทำเลอยู่ย่านตะวันตกของกทม. และย่านรามอินทรา แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

ส่วนโครงการ“สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” ได้ปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา โดยได้ทยอยโอนบ้านไปแล้วประมาณ 30% และโอนที่ดินไปแล้ว 50% เนื่องจากลูกค้ามั่นใจในแบรนด์สินค้า จึงได้รับการตอบรับที่ดีมาก

ด้านธุรกิจอาคารสำนักงาน จากวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมาพบว่าการ Work From Home (WFH) ไม่ใช่ทางออกหรือการแก้ไขปัญหาของทุกองค์กร แต่ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นภาคบังคับที่ทุกคนต้องทำงานแบบ WFH  แต่สุดท้ายการทำงานที่สำนักงานยังต้องเกิดขึ้น ต้องมีการทำงานร่วมกัน ทำให้มองว่า การกลับมาทำงานจะเริ่มกลับมา เนื่องจากบุคลากรยังไม่สามารถทำงานแบบ Artificial Intelligence (AI) ได้ ดังนั้นอาคารสำนักงานในยุคปัจจุบันจึงเป็นเรื่องของการจัดสรรพื้นที่ เพื่อตอบโจทย์การทำงานแบบใหม่ มีไลฟ์สไตล์สเปซ โดยมีพื้นที่ส่วนกลางที่ทันสมัย และมองว่า Connectivity เป็นเรื่องสำคัญในการพัฒนาอาคารสำนักงาน

“การขยายพอร์ตอาคารสำนักงานแห่งใหม่ หรือ การจะเข้าไปซื้อตึกเพิ่มในปี 2566 นั้น ตอนนี้ เราต้องให้ความสำคัญกับอาคาร The S Oasis ก่อน แต่จะปรับพื้นที่ให้บริการที่มีความหลากหลาย เนื่องจากธุรกิจ Startup มีจำนวนมาก ระยะเวลาการใช้พื้นที่จะต่างกันไป แต่สิ่งสำคัญต้องมีความทันสมัยรองรับ” นางฐิติมา กล่าว

 

สำหรับในเรื่องธุรกิจโรงแรมนั้น สิงห์ เอสเตทฯ มีโรงแรมรองรับกระจายไปทั่วโลก และการฟื้นตัวของแต่ละประเทศ จะเริ่มดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าโรงแรมที่จังหวัดภูเก็ต และสมุย นั้น คาดว่าปี 66 จะเริ่มกลับมาสู่สภาวะปกติและดีขึ้น เนื่องจากรัฐบาลให้การสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวด้วย

“เรื่องท่องเที่ยว เราก็มีประเทศใหม่ๆที่เข้ามาทดแทนตลาดจากประเทศจีน และเรามั่นใจว่า ปีหน้า นักท่องเที่ยวจากประเทศจีนมาแน่ ถ้าจะเที่ยว ก็รีบเที่ยว มีแนวโน้มราคาที่พักจะปรับขึ้นในปีหน้า” นางฐิติมา กล่าวในที่สุด

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*