พฤกษาโฮลดิ้งฯเปิดแผนปี 66 เปิดตัวใหม่ทั้งสิ้น 23 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 23,500 ล้านบาท รุกจับกลุ่มลูกค้าพรีเมียมมากขึ้น พร้อมอัดงบการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างรายได้ประจำต่อเนื่อง อีก 7,000 ล้านบาท ระบุมีที่ดินในมือทั่วประเทศ 150 แห่ง รองรับการพัฒนาได้ 2.5 ปี มูลค่ารวมกว่า 60,000 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้ใช้งบซื้อที่ดินเพิ่มอีกประมาณ 4,000-5,000  ล้านบาท ด้านกลุ่มวิมุตเผยแผนการขยายแพลตฟอร์มธุรกิจด้านสุขภาพระยะเวลา 5 ปี  ใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 17,000 ล้านบาท ใน 3 ส่วนหลัก มอบบริการครอบคลุมทุกมุมเมือง  คาดรายได้รวมทั้งกลุ่มปีนี้แตะ 30,000 ล้านบาท เติบโต 5%
นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์
นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปี 2565 ที่ผ่านมาว่า มีกำไรสุทธิ 2,772 ล้านบาท เติบโต 18% เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยมีรายได้ใกล้เคียงกับปี 2564 ที่ 28,640 ล้านบาท หรือ เติบโต 1% สามารถทำกำไรขั้นต้นได้ดีขึ้น 9% สะท้อนถึงการบริหารจัดการต้นทุนของสินค้าและบริการได้ดี จากการนำวิศวกรรมคุณค่ามาใช้ (Value Engineering) ทั้งเรื่องการพัฒนาใช้แผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูปชนิดมีรูกลวง (Hollow Core) การออกแบบคานคอดิน (Ground Beam) และการเชื่อมซีเมนต์ (Cement Jointing) แบบใหม่ในขั้นตอนการก่อสร้าง รวมถึงการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เข้ามาใช้เพื่อลดต้นทุนการก่อสร้าง จากปริมาณการใช้ซีเมนต์ที่ลดลง พร้อมกับลดค่าขนส่งและจำนวนชั่วโมงการทำงานที่ลดลงด้วย

โดยในปีที่ผ่านมาพฤกษามุ่งเพิ่มสัดส่วนการสร้างรายได้ประจำต่อเนื่อง (Recurring Income) เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว จึงได้มีการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจใหม่ต่อเนื่องตลอดทั้งปี อาทิ การตั้งกองทุน Corporate Venture 3,500 ล้านบาท เพื่อลงทุนใน Prop Tech, Health Tech และ Sustainable Tech  และล่าสุดได้ร่วมกับแคปปิตอลแลนด์ อินเวสเม้นท์ กรุ๊ป  และ  แอลลี่ โลจิสติกส์ พร็อพเพอร์ตี้  จัดตั้งกองทุน “CapitaLand SEA Logistics Fund” ตั้งเป้ามูลค่าอสังหาริมทรัพย์โลจิสติกส์ภายใต้การจัดการ 1,000 ล้านเหรียญสิงคโปร์ เป็นต้น

 

ในขณะที่สถานะทางการเงินของพฤกษายังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนเงินกู้ยืมต่อหุ้นทุนสุทธิ (Net Gearing Ratio) อยู่ในระดับต่ำที่ 0.22 เท่า และจากผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถประกาศจ่ายเงินปันผลเท่ากับ 65 สตางค์ รวมเงินปันระหว่างกาลแล้วจ่ายทั้งสิ้นเท่ากับ 96 สตางค์ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 10 มีนาคม 2566 โดยจะนำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายน 2565 มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเท่ากับ 7.4% และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 19 พฤษภาคม 2566 นี้

ทั้งนี้ในปี 2566 คาดการณ์รายได้รวมของทั้งกลุ่มประมาณ 30,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 5% เมื่อเทียบจากปี 2565 โดยคาดว่าจะได้รับแรงสนับสนุนมาจากธุรกิจอสังหาฯ ที่จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 23 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 23,500 ล้านบาท และยังมีแผนการลงทุนในธุรกิจใหม่อีกราว 7,000 ล้านบาทด้วย ซึ่งการลงทุนในธุรกิจใหม่จะเริ่มมีความชัดเจน ทั้งธุรกิจโลจิสติกส์ รวมถึงการปรับโครงสร้างของธุรกิจพรีคาสท์ที่คาดว่าจะมีรายได้ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามแผนงานการสร้างความยั่งยืนแก่องค์กรต่อไป

สำหรับการดำเนินงานในก้าวต่อไปพฤกษาฯยังคงมุ่งมั่นสู่การสร้างความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญต่อการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30% ภายในปี 2573 และเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ในปี 2593 ในปีนี้จึงได้ริเริ่มโครงการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดการใช้พลังเชื้อเพลิง พลังงานไฟฟ้า ได้แก่ การใช้โซลาร์รูฟ การออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน (Passive Home) การใช้เทคโนโลยี Smart Home การก่อสร้างบ้านด้วยพรีคาสท์คาร์บอนต่ำ (Low-carbon Precast) และการทำอาคารสำนักงานแบบ Smart Office และ Smart Hospital โรงพยาบาลที่ใช้พลังงานน้อย เป็นต้น” นายอุเทน กล่าวในที่สุด

นายปิยะ ประยงค์
ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS  กล่าวว่า  ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯได้มีการปรับพอร์ต ด้วยการขยายเซกเมนต์มากขึ้น ทำให้ปี 2565 ที่ผ่านมาเปิดตัวใหม่ได้เพียง 19 โครงการ มูลค่า 11,100 ล้านบาท โดยเน้นโครงการทาวน์เฮาส์เป็นหลัก จากแผนเดิมที่ประกาศไว้จะเปิดตัวทั้งสิ้น 31 โครงการ มูลค่าประมาณ  16,300 ล้านบาท ประกอบด้วย ทาวน์เฮาส์ 22 โครงการ บ้านเดี่ยว 6 โครงการ และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ โดยนปี 2566 มีแผนเปิดโครงการใหม่ 23 โครงการ แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว  8 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 11 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 4 โครงการ รวมมูลค่าทั้งหมดราว 23,500 ล้านบาท มุ่งเพิ่มกลุ่มสินค้าที่จับกลุ่มลูกค้าในเซกเมนต์ระดับกลางไปสูง โดยมีแผนเปิดบ้านเดี่ยวพรีเมียมถึง 3 โครงการ ได้แก่   เดอะปาล์มวัชรพล เดอะปาล์ม บางนาวงแหวน และ เดอะปาล์มพัฒนาการ  พร้อมมุ่งบริหารสินทรัพย์ที่มีในมือ  โดยมีที่อยู่อาศัยโครงการปัจจุบันที่ยังเปิดขายอยู่ทั่วประเทศ รวมมูลค่าราว 69,900 ล้านบาท 158 โครงการ 

ปัจจุบันบริษัทมีที่ดินที่มีในมือทั่วประเทศ 150 แห่ง ที่พร้อมพัฒนาโครงการที่มีมูลค่ารวมกว่า 60,000 ล้านบาท รองรับการพัฒนาได้ 2.5 ปี และปีนี้จะใช้งบซื้อที่ดินอีกประมาณ 4,000-5,000  ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการมูลค่า 17,100 ล้านบาท สามารถรองรับการพัฒนาได้ 0.5 ปี พัฒนาได้ประมาณ 16 โครงการ ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล

ในปี 2565 เราได้เลื่อนเปิดตัวไปหลายโครงการ เพราะบ้านเดี่ยวมีการปรับสินค้า จึงเลื่อนมาเปิดปีนี้แทน ส่วนใหญ่เป็นเซกเมนต์ราคาสูง และคอนโดฯ บางโซน เช่น แชฟเตอร์ วัน ออล รามอินทรา ,เดอะ ไพรเวซี่ เตาปูน อินเตอร์เชนจ์  ก็รอให้เฟสแรกจบ และรอให้ซัพพลายเหมาะสม จึงค่อยเปิดตัวในเฟสต่อไปนายปิยะ กล่าว

อย่างไรก็ตามในปี 2565 ที่ผ่านมาพฤกษาฯทำรายได้ที่ 27,191 ล้านบาท และในปี 2566 วางกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้พอร์ตโฟลิโอ (Portfolioโดยในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายที่ 24,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดโอนที่  28,000 ล้านบาท  มุ่งสร้างคุณค่าเพิ่มเพื่อลูกค้า (Customer Value) ด้วยการพัฒนาลิฟวิ่งโซลูชั่น (Living Solution) รองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปตามเมกะเทรนด์ของโลก โดยคำนึงถึงการสร้างความยั่งยืน (Sustainability) อย่างต่อเนื่อง และในปีนี้ มีแผนการซื้อที่ดินราว 5,000 ล้านบาท มุ่งเน้นทำเลที่มีศักยภาพเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ในระดับพรีเมียมเพิ่มขึ้น และมุ่งผสานความร่วมมือระหว่างธุรกิจในเครือพฤกษาทั้งธุรกิจด้านสุขภาพ และธุรกิจอื่นในเครือที่กำลังจะเปิดตัวในปีนี้ด้วย

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์
ด้านธุรกิจเฮลท์แคร์ นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่าแผนการขยายแพลตฟอร์มธุรกิจด้านสุขภาพ ในระยะเวลา 5 ปี จะใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 17,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนด้วยกันคือ

1.รอบด้านใน : โรงพยาบาลเฉพาะทาง (เชี่ยวชาญด้านหัวใจ,สมอง,กระดูก, GI & NCD) ได้แก่ โรงพยาบาลวิมุต พหลโยธิน,โรงพยาบาลเทพธารินทร์,วิมุต ปิ่นเกล้า ซึ่งจะแบ่งเป็น 3 เฟส โดยใช้งบลงทุน 2,300 ล้านบาท โดยเฟสแรกจะมีประมาณ 60-70 เตียง,วิมุต นราธิวาส-ราชนครินทร์ และวิมุต สุขุมวิท

2.รอบกลาง : Wellness Center & Nursing Home ได้แก่ ทำเลคู้บอน ซึ่งเป็นการร่วมกับบริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) จัดตั้ง “SENERA ViMUT HEALTH SERVICE” โครงการศูนย์ฟื้นฟูและดูแลสุขภาพสำหรับครอบครัวและผู้สูงอายุ โดยตั้งอยู่ภายในพื้นที่โครงการ SENERA SENIOR WELLNESS ถนนคู้บอน ประมาณ 60 เตียง ซึ่งจะเปิดตัวในวันที่ 1 มีนาคม 2566 นี้ นอกจากนี้ยังมีที่ บางนา,วัชรพล,สุขุมวิท 54, ประชาชื่น,รัตนาธิเบศร์,พัฒนาการ,เซ็นทรัล เวสเกต,ราชพฤกษ์ และอีก 6 แห่ง ภายในระยะเวลา 5 ปี

3.รอบนอก : คลินิก ได้แก่ คลินิกบ้านหมอวิมุต

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2565 ที่ผ่านมา วิมุตฯทำรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด 1,340 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.7 เท่า จากปี 2564  ซึ่ง 80% เป็นรายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19  แม้ว่ารายได้จากโรคที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ลดลงในปีที่ผ่านมา แต่สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้น จากการขยายเครือข่ายระบบนิเวศ หรือ Ecosystem ของโรงพยาบาล  ได้แก่ เวลเนสต์ เซ็นเตอร์ บ้านหมอวิมุต โรงพยาบาลเทพธารินทร์ บริการผ่านดิจิตัลแพลท์ฟอร์ม ทั้งแอปพลิเคชัน  เทเลเมดิซีน ไปจนถึงความร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ เสริมทัพด้วยรายได้จากโรงพยาบาลเทพธารินทร์ ที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้นด้วย ประกอบกับปีที่ผานมาวิมุตสร้างความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ต่างชาติ ทำให้จำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่มาใช้บริการที่โรงพยาบาลมีจำนวนสูงขึ้น 3.2 เท่าด้วย  ในปี 2566 ทางกลุ่มมีแผนการลงทุนราว 2,500 ล้านบาท   มุ่งเน้นการสร้างและเปิดศูนย์สุขภาพ (Health Center) เพิ่มอีก 3 แห่ง และเตรียมงานพัฒนาโรงพยาบาลวิมุตที่ปิ่นเกล้า

 

 

 

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*