เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ฯ ปักธงสร้างการเติบโตพร้อมมุ่งสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า ผ่านโรดแมป FPT Next 2025 ยกระดับธุรกิจสู่ “Real Estate as a Service Brand” ผ่าน 3 มิติหลัก เตรียมแผนสร้างความแตกต่าง ด้วยการต่อยอดผลิตภัณฑ์บริการที่หลากหลาย สอดรับเทรนด์ ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมทั้งในปัจจุบันและอนาคต  ตั้งเป้าติด Top 5 ของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ของไทย มีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 100,000  ล้านบาท ภายในปี 68  มั่นใจรายได้ปี 69 เติบโตแตะระดับ 30,000 ล้านบาท
นายธนพล ศิริธนชัย
นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT เปิดเผยว่า  บริษัทฯพร้อมเดินหน้าสานต่อเจตนารมณ์ของแบรนด์ให้สำเร็จ โดยจะขับเคลื่อนองค์กรผ่านการเป็น “Real Estate as a Service Brand” ซึ่งหมายถึงการขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยต่อยอดด้านนวัตกรรมการบริการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ บริษัทฯ ได้ผนึกกำลังความสามารถด้านเทคโนโลยีและองค์ความรู้สมัยใหม่ของทีมงานมืออาชีพจากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ โดยในด้านเทคโนโลยีการบริการต่าง ๆ อาทิ การส่งเสริมด้านความปลอดภัยอัจฉริยะ มีการใช้ระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition) ในการเข้า-ออกพื้นที่ ระบบอำนวยความสะดวกด้านการควบคุมยานยนต์เข้า-ออกพื้นที่ ตลอดจนติดตามการจราจรและระดับมลภาวะภายในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังเป็นผู้นำด้านอาคารยั่งยืนที่สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด และให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานระดับสากล สำหรับธุรกิจที่อยู่อาศัยได้เสริมการให้บริการลูกค้าอย่างไร้รอยต่อมากขึ้นด้วยแอปพลิเคชัน Home+ ซึ่งอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าตลอดกระบวนการขายและบริการ รวมถึงมอบบริการเสริมต่าง ๆ ผ่านเครือข่ายพันธมิตรเพื่อดูแลลูกบ้านให้ดียิ่งขึ้น สอดรับกับไลฟ์สไตล์และความต้องการในการอยู่อาศัย พร้อมส่งมอบนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ ภายในบ้านซึ่งช่วยยกระดับการใช้ชีวิต

ขณะเดียวกัน เพื่อรองรับรูปแบบการใช้งานของคนสมัยใหม่ที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง บริษัทฯ ได้เดินหน้านวัตกรรมการบริการในธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าภายใต้คอนเซ็ปต์ Core & Flex ที่มีทั้งพื้นที่สำนักงานแบบมาตรฐาน และแบบยืดหยุ่น มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน โดยมีค่าใช้จ่ายตามประเภทการบริการหรือระยะเวลาที่ต้องใช้งาน อีกทั้งยังเตรียมผลักดันการให้บริการ Co-Warehousing เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่ต้องใช้บริการรายครั้ง (Pay-Per-Use) หรือต้องการจัดเก็บสินค้าภายในคลังสินค้าตามจำนวนพาเลท (Pay-Per-Pallet) รวมถึงตอบสนองความต้องการใช้พื้นที่, สิ่งอำนวยความสะดวก และเทคโนโลยีที่เป็นของส่วนกลางโดยจ่ายค่าบริการตามจำนวนการใช้งาน

นายธนพล กล่าวต่อไปว่า เพื่อขับเคลื่อน FPT สู่การเป็น “Real Estate as a ServiceBrand ภายในปี 2568 (คศ.2025) บริษัทฯ กำหนดแผนการดำเนินงานใน 3 มิติหลัก ได้แก่

People: มุ่งดูแลพนักงานซึ่งเป็นหัวใจหลักในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับธุรกิจ โดยให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความสามารถและขยายศักยภาพ ควบคู่กับการสนับสนุนให้ทุกคนในองค์กรมีเส้นทางการเติบโตในอาชีพอย่างชัดเจน พร้อมดูแลด้านสวัสดิการที่เท่าเทียมและสอดรับกับการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน เพื่อสร้างทีมงานที่เข้มแข็ง พร้อมด้วยความรู้ ความสามารถ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการเดินหน้าธุรกิจทั้งในปัจจุบันและการเติบโตในอนาคต ด้วยเป้าหมายในการมุ่งสู่การเป็น Employer of Choice หรือบริษัทที่คนอยากร่วมงานด้วย

-Planet: ดำเนินธุรกิจโดยยึดมั่นและคำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล (Environment, Social and Governance: ESG) และมุ่งสร้างความยั่งยืนให้แก่บริษัทฯ ในทุกด้าน โดยปัจจุบัน FPT เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของไทยรายแรกที่ได้รับจัดอันดับมาตรฐานในระดับ A ด้านการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของบริษัทในหมวดหมู่ Southeast Asia Diversified Business ตามมาตรฐานของ GRESB (Global Real Estate Sustainability Benchmark) ซึ่งเป็นดัชนีด้านความยั่งยืนของภาคอสังหาริมทรัพย์ พร้อมเดินหน้าสู่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 6 ล้านกิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเท่ากับการปลูกต้นไม้ 6 แสนต้นในปี 2593 (คศ.2050)  เพื่อที่จะเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในปี 2593 (คศ.2050)

 

Purpose: เพิ่มเติมจากการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพ FPT จะเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ฯให้เป็นที่จดจำและเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าผ่านการดำเนินงานของทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าติด Top 5 ของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ของไทยในปี 2568 (คศ.2025)

“เพื่อตอกย้ำเจตนารมณ์ Inspiring experiences, creating places for good. หรือ สร้างสรรค์พื้นที่ ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ FPT จึงดำเนินตามแผน FPT Next 2025 และมุ่งมั่นส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยการสร้างประสบการณ์ที่ดี พร้อมทั้งตอบโจทย์ความต้องการและยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้าและผู้ใช้บริการไปพร้อมกัน” นายธนพล กล่าว

ด้านภาพรวมธุรกิจของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ฯมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย มีการพัฒนาบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม รวม 10 แบรนด์ ซึ่งปีนี้จะขยายพอร์ตโฟลิโอโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่และระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ราคา 60-120 ล้านบาท นำทัพด้วย 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ The Royal Residence (เดอะ โรยัล เรสซิเดนซ์), Alpina (อัลพีน่า) และ The GRAND (เดอะ แกรนด์) รวมถึงมีแผนบุกตลาดคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ราคา 3-5 ล้านบาท

-กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม มีทีมงานที่มากด้วยประสบการณ์และความชำนาญ พร้อมทั้งมีพื้นที่ภายใต้บริหารจัดการกว่า 3.4 ล้านตารางเมตร ในประเทศไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม และเตรียมส่งมอบพื้นที่ให้ลูกค้าอีกกว่า 150,000 ตารางเมตร ส่งผลให้บริษัทฯ จะมีพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการรวมกว่า 3.55 ล้านตารางเมตร ตอกย้ำการเป็นผู้นำอันดับ 1 ในการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม ขณะเดียวกันมีเมกะโปรเจกต์เป็นเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่บนพื้นที่ 4,600 ไร่ในจังหวัดสมุทรปราการ

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม แข็งแกร่งด้วยโครงการมิกซ์ยูสใจกลางเมือง สามย่านมิตรทาวน์และสีลมเอจ, ธุรกิจโรงแรม และอาคารสำนักงานเกรดเอที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ย่าน CBD ซึ่งด้วยการบริหารจัดการที่ดีเยี่ยมส่งผลให้มีผู้เช่าและผู้ใช้บริการจำนวนมาก สามารถรักษาอัตราการเช่าเฉลี่ยของทั้งพอร์ตโฟลิโอสูงกว่า 90%                                                                                                                        จากความหลากหลายของธุรกิจที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แพลตฟอร์มของ FPT ทำให้ปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ (ณ วันที่ 30 กันยายน 2565) มีมูลค่าสินทรัพย์สูงถึง 98,967 ล้านบาท และตั้งเป้าปี 2568 (คศ.2025) จะมีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 100,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าหมายในการเป็นแบรนด์ Top 5 ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งในกลุ่มที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรมอีกด้วย

ด้านงบลงทุนในปี 2566 บริษัทฯวางไว้ที่ประมาณ 10,000-12,000 ล้านบาท แบ่งใช้ลงทุนซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท, ใช้ลงทุนในกลุ่ม Industrial ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท และใช้ปรับปรุงในกลุ่ม Commercial ประมาณ 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้ในช่วง 3 ปีหลังจากนี้ (ปี 2567-2569) บริษัทจะเพิ่มงบลงทุนประมาณ 10% ต่อปี เพื่อขยายพอร์ตสินทรัพย์ สร้างการเติบโตที่ต่อเนื่อง

 

สำหรับทิศทางผลการดำเนินงานในช่วง 4 ปีจากนี้ (ปี 2566-2569) จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 (1 ตุลาคม 2565 – 30 กันยายน 2566) รายได้รวมจะเติบโตที่ระดับ 18,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน (1 ตุลาคม 2564 – 30 กันยายน 2565) ที่มีรายได้รวม 16,346 ล้านบาท และในอนาคตบริษัทจะรักษาการเติบโตให้อยู่ในระดับ 15% ต่อปี ซึ่งในปี 2569  (1 ตุลาคม 2568 – 30 กันยายน 2569) รายได้จะเติบโตแตะระดับ 30,000 ล้านบาท

โดยสัดส่วนรายได้ในปี 2566 จะมาจาก 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (Home) เป็นหลัก จำนวน 13,085 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 73% ของรายได้รวม, 2.กลุ่มธุรกิจ Industrial จำนวน 3,405 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 19% ของรายได้รวม และ 3.กลุ่มธุรกิจ Commercial จำนวน 1,435 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8% ของรายได้รวม ทั้งนี้ ในอนาคตสัดส่วนรายได้จะยังคงมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 75% ของรายได้รวม

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*