เซ็นทรัลพัฒนา ประกาศพัฒนาโมเดลธุรกิจแห่งอนาคตเป็น “The Ecosystem for All” ทุกธุรกิจโตแกร่ง โดยมี Retail เป็นหัวใจสำคัญ ด้วย 3 กลยุทธ์ กางแผน 5 ปี เฉลี่ยลงทุนปีละ 25,000-35,000 ล้านบาท รวมกว่า 200 โครงการ มีมิกซ์ยูส 25 โครงการ ครอบคลุม 30 เมืองในไทยและอาเซียน ระบุ 5 Mega Projects ภายใน 5-10 ปี ยกระดับกรุงเทพฯ เทียบชั้นมาตรฐานมหานครระดับโลก แต่ละโครงการมีพื้นที่มากกว่า 350,000 ตร.ม. งบลงทุนมากกว่า 20,000 ล้านบาท นำร่อง“Dusit Central Park” ในปี 2567-2568 ด้านโครงการใหม่เตรียมเปิดปี 66-67 ทั้งศูนย์การค้า,คอมมูนิตี้มอลล์,ที่อยู่อาศัย,อาคารสำนักงานและโรงแรม
นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์
นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด(มหาชน) หรือ CPN เปิดเผยว่า ได้เดินหน้าสู่โมเดลธุรกิจแห่งอนาคตเป็นThe Ecosystem for All” โดยมีธุรกิจ Retail เป็นแกนหลัก ด้วย 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่
1.The 360-Degree Centre of Life: เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์ครบทุกองศาทั้ง Offline & Online ทั้ง shop-eat-work-play-stay-live ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง 365 วัน ทุกที่ ทั่วประเทศ โดยภายใน 5 ปี ทราฟฟิคในโครงการของเราจะเพิ่มขึ้นจาก 1.2 ล้านคนเป็น 1.8 ล้านคนต่อวัน หรือคิดเป็นการมาใช้บริการ 657 ล้านครั้งต่อปี สำหรับ ในปี 2566 นี้จะมีมิกซ์ยูสที่ครบทุกองค์ประกอบเพิ่มขึ้น ได้แก่ เซ็นทรัล อุบลราชธานี,เซ็นทรัล อยุธยา และเซ็นทรัล ระยอง
โดยในแผนลงทุน 5 ปี (ปี 2566-2570) ลงทุนทุกธุรกิจรวมกว่า 135,000 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 25,000-30,000 ล้านบาท โดยมีทั้งหมดมากกว่า 200 โครงการ ครอบคุลม 30 เมืองในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ประกอบด้วย ศูนย์การค้า 50 แห่ง, คอมมูนิตี้มอลล์ 17 แห่ง, ที่อยู่อาศัย 90 แห่ง, โรงแรม 37 แห่ง, อาคารสำนักงาน 13 แห่ง และพื้นที่ใหม่ๆ Flex Offices อีก 4 แห่ง โดยจะทำให้จำนวนโครงการมิกซ์ยูสเพิ่มขึ้นจาก 18 โครงการในปี 2566 เป็น 25 โครงการในปี 2570

 

นอกจากนี้ ยังได้วางแผนระยะยาว 5-10 ปีในการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส Mega Projects รวม 5 โครงการ ซึ่งจะยกมาตรฐานให้กรุงเทพฯ เทียบเท่ามหานครระดับโลก อาทิ นิวยอร์ก, โตเกียว หรือโซล โดยแต่ละโครงการจะใช้เงินลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาท มีพื้นที่ GFA กว่า 350,000 ตารางเมตร ซึ่ง 4 โครงการเป็นการลงทุนร่วมกับพันธมิตร โดยก่อนหน้านี้ได้มีการร่วมทุนในโครงการแรกไปแล้วคือ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” (Dusit Central Park)ที่จะทยอยเปิดตัวในปี 2567-2568 ส่วนโครงการถัดไปคือ โครงการมิกซ์ยูส อยู่ระหว่างซอยวิภาวดี 30 และวิภาวดี 28 บนพื้นที่ 48 ไร่ ประกอบด้วยศูนย์การค้า โรงแรม และอาคารสำนักงาน พัฒนาโดยกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาและ บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด(มหาชน) หรือ GLAND โดยเฟสแรกจะเป็นการพัฒนาโครงการศูนย์การค้า ภายใต้งบลงทุน 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนของกลุ่มเซ็นทรัล 5,500 ล้านบาท และ GLAND ประมาณ 5,500 ล้านบาท คาดว่าโครงการมิกซ์ยูสดังกล่าวจะใช้เวลาสร้างรวม 5 ปี แล้วเสร็จในปี 2571

2.Total B2B2C Solutions: การเชื่อมโยงการทำธุรกิจของพันธมิตรคู่ค้า สู่การใช้ชีวิตของลูกค้าที่ครบวงจร ด้วยการลงทุนด้าน Digital Transformation & Technology Infrastructure ปีละ 300-500 ล้านบาท โดยได้มีการพัฒนา Data-driven Omnichannel ที่มีประโยชน์กับลูกค้า คู่ค้า และสังคม

3.The Place Making for Sustainable Future: ให้ความสำคัญทั้งด้าน“คน” ด้วยการส่งเสริม Local Wealth โดยใน 5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ จะมีพนักงานกว่า 6,500 คน พร้อมผลักดันการจ้างงานใน Ecosystem อีกกว่า 100,000 ตำแหน่ง การเปิดพื้นที่ค้าขายฟรีให้เกษตรกรและ SMEs ทั่วประเทศคิดเป็นมูลค่า 300 ล้านบาทต่อปี และการสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐและ CSR รวมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาทต่อปี รวมไปถึงการดูแล “สิ่งแวดล้อม” เดินหน้าตามโรดแมป NET Zero 2050 อาทิ การประหยัดพลังงานไปแล้วกว่า 200 ล้านบาท, ติดตั้ง Solar Rooftop และขยาย EV Charger Station อย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ, การเพิ่มพื้นที่สีเขียว รวมถึงการจัดการขยะและขยาย Recycle Shops ในศูนย์การค้า

นอกจากนี้ ทีมผู้บริหารเซ็นทรัลพัฒนา ได้แก่ นายชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจและโครงการ, นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงิน บัญชีและบริหารความเสี่ยง, นายวุฒิเกียรติ เตชะมงคลาภิวัฒน์ Head of Community Mall and International Business Development, นายกรี เดชชัย President, Residential Business, นางสาวสุรางค์ จิรัฐติกาลโชติ Head of Hotel Development, และ นายภูมิ จิราธิวัฒน์ Head of hotels and Alternative Investments ได้ร่วมกันเปิดเผยแผนธุรกิจในส่วนต่างๆ ที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับ “The Ecosystem for All” ดังนี้

 ธุรกิจศูนย์การค้า ในฐานะหัวใจสำคัญของ Ecosystem เน้นการเป็น No.1 Market Leader โดยมีไฮไลท์สำคัญ ได้แก่

1) การเปิดตัว 4 โครงการใหม่ในปี 2566-2567:

Central Westville เปิดตัวไตรมาส 4/2566 งบลงทุนกว่า 6,200 ล้านบาท ซึ่งจะเป็น The Next Evolution of Semi-Outdoor Model ที่จะพลิกโฉมย่านราชพฤกษ์ ตอนนี้ Occupancy ร้านค้าเกือบเต็ม 100% ตอกย้ำความสำเร็จเช่นเดียวกับที่ Central Eastville

-Central Nakhon Sawan เปิดตัวไตรมาส 1/2567 งบลงทุน 5,800 ล้านบาท และ Central Nakhon Pathom เปิดตัวไตรมาส 2/2567 งบลงทุน 8,200 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่ยกระดับศักยภาพของภูมิภาค เชื่อมต่อโซนภาคเหนือ และขยายสู่ภาคตะวันตกของประเทศ

เผยโครงการใหม่ล่าสุด Central Krabi งบลงทุน 4,500 ล้านบาท เปิดช่วงไตรมาส 4/2567 มิกซ์ยูสเมืองท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็น The New Gateway to Southern Paradise ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ประกอบด้วยศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย และโรงแรม เติมเต็มศักยภาพของกระบี่ที่เป็นเมืองที่มี world’s most famous islands และเป็น Top 5 จุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยจะเป็น the first & largest complete landmark ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดและประเทศ

2) การขยายและรีโนเวทเพื่อ สร้าง Big Impact ได้แก่ เซ็นทรัล พัทยา ที่ได้มีการปรับโฉมโรงแรม Hilton ทำให้มียอดเข้าพักมากกว่าปี 2562 แล้วและเตรียมรีโนเวทศูนย์การค้าเพิ่มโซนต่างๆ ตอบรับการเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก โดยจะมีแบรนด์ Bridgeline และ luxury เพิ่มเติม ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และส่วนใหญ่นิยมสินค้าแบรนด์เนม ความสำเร็จของ Central Ramindra ที่มีทราฟฟิคเพิ่มขึ้นเท่าตัว เตรียมเดินหน้าส่วนขยายของ Central Westgate ที่ประสบความสำเร็จเป็น Super Regional Mall ที่ทราฟฟิกดีต่อเนื่อง เติมเต็มด้วย New Anchor ใหญ่ ขยายพื้นที่ค้าขายเพิ่ม และเพิ่มอาคารจอดรถ และยังมี Renovation อื่นๆ ที่ตั้งใจทำให้เป็นศูนย์การค้าที่ดีที่สุดของทุกย่าน อีกทั้ง ยังมีการปรับโฉมเซ็นทรัล อุบลราชธานี เตรียมรับโรงแรม Centara เติมเต็มมิกซ์ยูส, รวมถึงเซ็นทรัล มารีนา ปิ่นเกล้า แจ้งวัฒนะ เชียงใหม่ ขอนแก่น อีกด้วย

3)เป็น Experiential Place Making ระดับโลก นำโดย CentralwOrld ตอกย้ำ Global Landmark ที่สร้างปรากฏการณ์ด้วยแบรนด์ระดับโลกเลือกมาเปิดตัวเป็นที่แรก เตรียมมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ได้แก่ ร้านเบอร์เกอร์ระดับโลก Shake Shack ที่เตรียมเปิดปลายเดือนมีนาคมนี้เป็นสาขาแรกในไทย รวมถึง Central Phuket ซึ่งเป็น Luxury mall แห่งเดียวของไทยที่ตั้งอยู่ในเมืองท่องเที่ยวระดับโลก เตรียมต้อนรับแบรนด์ลักชูรี่ระดับโลก

4) เดินหน้า 5 Mega Mixed-use Projects ที่แต่ละโครงการใหญ่เทียบเท่า centralwOrld นำโดยโครงการ Dusit Central Park ภายใต้การร่วมทุนกับกลุ่มดุสิตธานี งบลงทุนรวม 46,000 ล้านบาท ซึ่งเป็น One-of-a-kind Mixed-Use Project ระดับโลก ที่เชื่อมพื้นที่สีเขียวให้เข้ากับชีวิตเมืองได้อย่างลงตัว โดยมี 4 องค์ประกอบที่สำคัญที่เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ โดยมีศูนย์การค้า Central Park ที่เชื่อมต่อทุกส่วนเข้าด้วยกัน โดยมีคอนเซ็ปต์ “Here for curated experience and inspiration” ที่จะสร้างประสบการณ์และแรงบันดาลใจใหม่ให้คนกรุงเทพ, อาคารสำนักงาน Central Park Offices ระดับ Grade A+ ที่ตั้งใจจะเป็น Global Prototype ของ Future Workplace, Ultra-Luxury Branded Residence, และโรงแรมระดับ Global Legendary Iconic แห่งเดียวของไทย

ธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ เปิดตัวโปรเจกต์ใหญ่ Marché Thonglor มูลค่าโครงการรวม 2,000 ล้านบาท (Soft Launch 26 มีนาคม 2566) เป็น Flagship of Community mall และ New Landmark ที่ใหญ่และครบครันที่สุดใจกลางทองหล่อ จับกลุ่มกำลังซื้อสูง, คนทำงานจาก Office ที่อยู่ภายในโครงการเดียวกัน, และ Expat ชาวต่างชาติ เติมเต็มด้วยพื้นที่สีเขียวกว่า 2,300 ตารางเมตร / Pet-Friendly / เป็น Food Destination ใหญ่ที่สุดในย่าน มีที่จอดรถ 24 ชั่วโมง และยังจะพัฒนาโครงการปัจจุบันที่นวมินทร์ ซิตี้ และปรับปรุง 4 แห่งในปีนี้

ธุรกิจที่อยู่อาศัย ชูกลยุทธ์สำคัญคือ Best Location & Best in class ในทุกโลเคชั่น อยู่ติดหรือใกล้ศูนย์การค้าเซ็นทรัล และเริ่มขยายโปรเจกต์ที่อยู่ติดโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ด้วย โดยนำจุดแข็งในเรื่องการทำ Synergy กับแบรนด์ชั้นนำ ในเครือ Central Group แผนปี 2566 เตรียมเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 9,000 ล้านบาท ได้แก่ คอนโดมิเนียม 3 โครงการ คือ ESCENT เพชรบุรี, บุรีรัมย์ และนครศรีธรรมราช และโครงการแนวราบ 4 โครงการ คือ บ้านนิรติ นครศรีธรรมราช และแบรนด์ใหม่ บ้านนิรดา พระราม 2, อุทยาน และเอกชัย ในเขตกรุงเทพฯ คาดว่าภายในปี 2570 จะครอบคลุม 27 จังหวัด นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ Central Pattana Residents รวมทุกความสะดวกสบายเพื่อการอยู่อาศัยไว้ในแอปฯเดียว เพื่อลูกบ้านโดยเฉพาะ

ธุรกิจอาคารสำนักงาน ชูจุดแข็ง Strategic Locations in CBD Bangkok โดยเตรียมเปิดเผยโปรเจกต์ใหญ่ Central Park Offices ภายในโครงการ Dusit Central Park โดยเป็น World-Class Professional Hub แห่งใหม่รองรับบริษัทชั้นนำระดับโลก บนโลเคชั่น Super Core CBD เป็น interchange station ทั้งรถไฟฟ้า BTS และ MRT และมีพื้นที่สีเขียวทั้งจาก Rooftop Park ขนาดใหญ่ ที่เชื่อมต่อกับสวนลุมพินี และบนชั้นพิเศษ ยังมี Private Outdoor Gardens อีกด้วย และเป็น World-Class Design and Facilities มุ่งเน้นการพัฒนาตามมาตรฐาน World-class LEED Gold Certified และการ Customized พื้นที่เพื่อธุรกิจทุกขนาด

ธุรกิจโรงแรม ชูความเชี่ยวชาญของเซ็นทรัลพัฒนาในการพัฒนาทำเลศักยภาพและเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ พร้อมยกระดับมาตรฐานการเข้าพักอาศัยในโรงแรมและตอบโจทย์ทุกจุดประสงค์ของการเดินทาง ในปี 2566 นี้จะเปิดโรงแรมครบทุก 3 แบรนด์ และจะมีโรงแรมทั้งสิ้น 10 แห่ง 1,600 ห้อง สำหรับโครงการใหม่ที่เตรียมเปิดปีนี้ ได้แก่ 1.แบรนด์ Centara: Upscale Full-Service เตรียมเปิด Centara Ubon’ และ ‘Centara Ayutthaya’, 2. แบรนด์ Centara One: Lifestyle Midscale เตรียมเปิดแห่งแรกคือ Centara One Rayong และ 3.แบรนด์ GO! Hotel: Premium Budget Hotel และเป็น Pet-Friendly เตรียมเปิดที่โรบินสันบ้านฉาง, เซ็นทรัล ศรีราชา และเซ็นทรัล ชลบุรี

ด้าน นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยง CPN กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 2666 เติบโตประมาณ 20% โดยปัจจุบันรายได้หลักของบริษัทยังคงมาจากธุรกิจศูนย์การค้า ซึ่งปัจจุบันค่าเช่าพื้นที่ในศูนย์การค้าได้กลับมาระดับปกติแล้ว โดยปัจจุบัน CPN มีพื้นที่เช่าศูนย์กาค้ารวมกว่า 2.3 ล้านตารางเมตร และมีอัตราการเช่ามากกว่า 90% ส่วนการเติบโตของรายได้ในช่วง 5 ปีนี้ (ปี 2566-2570) วางเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ย 12-13% ต่อปี

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*