หลังจากที่ระบบขนส่งมวลชนโครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง – หลักสอง และบางซื่อ-ท่าพระ เปิดให้บริการ ได้สร้างอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในพื้นที่ย่านฝั่งธนบุรีและต่อเนื่องไปถึงพื้นที่ชานเมืองอย่างสมุทรสาคร และนครปฐม อีกทั้งในอนาคตก็จะมีการก่อสร้างส่วนต่อขยายจากสถานีหลักสอง (บางแค)  – พุทธมณฑลสาย 4 ซึ่งจะมีค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน เงินลงทุน 3,920 ล้านบาท ค่าก่อสร้างงานโยธา 10,870 ล้านบาท ค่างานระบบไฟฟ้า 6,407 ล้านบาท รวม 21,197 ล้านบาท ยิ่งเพิ่มอำนวยความสะดวกสบายประชาชนในพื้นที่ชานเมืองมากขึ้น รวมไปถึงส่งผลให้ราคาที่ดินในทำเลแนวรถไฟฟ้าปรับพุ่งสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 6% อย่างแน่นอน  โดยเฉพาะทำเลถนนเพชรเกษม-อ้อมน้อย ทำให้สามารถเชื่อมต่อเข้าใจกลางเมืองได้สะดวก เนื่องจากเป็นย่านสำคัญที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรม ตลาดแรงงานขนาดใหญ่ แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย ฯลฯ 
โดยนายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ทำเลเพชรเกษม-อ้อมน้อย ถือว่าเป็นแหล่งที่มีโรงงานอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก ดังนั้นดีมานด์ความต้องการที่อยู่อาศัยจึงมีชัดเจน โดยที่อยู่อาศัยที่ได้รับการตอบรับดีคือโครงการประเภทแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว ระดับราคาส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 7-10 กว่าล้านบาท และทาวน์โฮม ระดับราคาประมาร 2-3 ล้านบาทต้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเข้ามาพัฒนาโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมจะมีเพียงส่วนใหญ่ เพียง 3-4 โครงการเท่านั้น ราคาที่ได้รับการตอบรับดีจะอยู่ที่ประมาณ 700,000-1,000,000 บาทต้นๆต่อยูนิต ซึ่งมีทั้งที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และมีกลุ่มที่ซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า ที่สามารถปล่อยเช่าได้ในระดับราคาตั้งแต่ 3,500-6,000 บาท/เดือน
ส่วนตลาดคอมมูนิตี้มอลล์ ที่ผ่านมายังไม่มีผู้ประกอบการรายใดเข้าไปพัฒนาในพื้นที่เพชรเกษม-อ้อมน้อย แต่โดยภาพรวมตลาดพบว่าในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา พบว่าเป็นช่วงขาลงของตลาดคอมมูนิตี้มอลล์ ส่งผลให้มีพื้นที่เช่าว่างเหลือค่อนข้างมาก ทำให้ผู้ประกอบการต้องยอมลดราคาเช่า เพื่อให้ธุรกิจอยู่ได้ ขณะเดียวกันก็ยังมีซัพพลายใหม่เข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นหากผู้ประกอบการรายใดจะพัฒนาโครงการในรูปแบบของคอมมูนิตี้มอลล์ จะต้องมีการศึกษาข้อมูลในพื้นที่ให้ละเอียดและชัดเจน เมื่อมีการพัฒนาขึ้นมาแล้ว ควรที่จะดึงแบรนด์สินค้าอุปโภค-บริโภค ที่มีชื่อเสียง เข้ามาในพื้นที่ให้มากที่สุด เพื่อดึงดีมานด์เข้ามาใช้บริการได้มาก และสิ่งที่ได้รับคือจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถทำราคาเช่าได้ดีและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับโครงการด้วย
ด้านนางสาวอัญรินทร์ ชลสายพันธ์ ผู้จัดการ บริษัท ภูมิพัฒน์ แมนเนจเม้นท์ จำกัด  ผู้ผลิตและส่งออกผ้าหนังเทียมรายใหญ่ของเมืองไทย และผู้พัฒนาโครงการ “The Spheres” หนึ่งในแลนด์ลอร์ดที่ดินย่านเพชรเกษมอ้อมน้อย กล่าวว่า ปัจจุบันทางครอบครัวมีที่ดินสะสมที่มีศักยภาพในพื้นที่กรุงเทพฯได้แก่ย่าน เพชรเกษม และเสมียนนารี ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาทำเลย่านอ้อมน้อย ถนนเพชรเกษม ฝั่งขาเข้ากรุงเทพฯ ยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดพัฒนาโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ที่ทันสมัย เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในย่านดังกล่าวแต่อย่างใด จนล่าสุดเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา ทางครอบครัวได้ตัดสินใจ แตกไลน์ธุรกิจ ด้วยการนำที่ดินบริเวณริมถนนเพชรเกษม ย่านอ้อมน้อย (ฝั่งขาเข้ากทม.บริเวณซอยเพชรเกษม 124-126) พื้นที่ประมาณ 18 ไร่ จากทั้งหมด 30 ไร่ มาพัฒนาเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ “The Spheres” ภายใต้การบริหารโดย ภูมิพัฒน์ แมนเนจเม้นท์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 81 ล้านบาท พัฒนาเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ที่ทันสมัยขนาด 11,000 ตารางเมตร รองรับร้านค้าได้มากถึง 150 ร้าน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้อาศัยและผู้ทำงานในรัศมี 10 กิโลเมตรโดยรอบโครงการฯ ได้อย่างครบครัน รวมถึงสร้างที่จอดรถยนต์และรถจักรยานยนต์กว่า 550 คัน มูลค่าการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าที่ดินกว่า 540 ล้านบาท งานก่อสร้างไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท และงานด้านอื่นๆ อาทิ งานออกแบบภูมิทัศน์ งานตกแต่งภายใน งานระบบสาธารณูปโภค เป็นต้น ซึ่งคิดเป็นมูลค่าอีกกว่า 100 ล้านบาท

“สาเหตุที่เราสนใจ แตกไลน์ธุรกิจ หันมาพัฒนาโครงการคอมมูนิตี้มอลล์  เพราะเล็งเห็นถึงความจำเป็น และต้องการสร้าง Land Mark ที่เป็นศูนย์รวมร้านอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยและทำงานในย่านเพชรเกษมได้เป็นทางเลือก ซึ่งยอมรับว่าการทำคอมมูนิตี้มอลล์ ไม่ใช่เรื่องง่าย และทางบริษัทฯ เพิ่งเข้ามาทำเป็นครั้งแรก แต่ก็มีความมั่นใจ เนื่องจากทางเรามีทีมที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ในการทำคอมมูนิตี้มอลล์มาช่วยในการดำเนินงานรวมทั้งทางบริษัทเองก็ได้มีการลงพื้นที่สํารวจโครงการโดยรอบเพื่อเก็บข้อมูลมาอย่างต่อเนื่อง”นางสาวอัญรินทร์ กล่าว

นางสาวอัญรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับความท้าทายในการพัฒนาโครงการ “The Spheres” คือ เริ่มตั้งแต่การสำรวจข้อมูล รายละเอียด ความสนใจของคนในพื้นที่ และการมองหา Concept ของโครงการที่จะดึงดูด ตอบโจทย์เพื่อให้ผู้คนเข้ามาใช้บริการ รวมทั้งการสร้างสิ่งที่แตกต่างโดยต้องการให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างจากโครงการโดยรอบ นอกจากนี้การหา Partner ที่ดี ที่ช่วยเติมเต็มความรู้และมีประสบการณ์ที่สามารถนํามาปรับใช้กับโครงการได้

อย่างไรก็ตามแม้ว่าบริษัทฯ เพิ่งจะเริ่มมาดำเนินธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ครั้งแรก แต่ก็มีจุดแข็งที่สามารถสู้คู่แข่งได้ ด้วยการคัดเลือกผู้เช่าที่ทำให้โครงการมีความโดดเด่นในด้านต่างๆอย่างสมดุล เข้ากับ Concept ของโครงการ และการเข้าใจความต้องการของลูกค้าผู้ใช้บริการ ขณะนี้มีผู้สนใจเข้ามาติดต่อสอบถามทางโครงการอย่างต่อเนื่อง และยังอยู่ในขั้นตอนการดีลกับแบรนด์ดัง เพื่อมาเช่าพื้นที่ในโครงการอีกหลายแบรนด์ด้วย ซึ่งมั่นใจว่ามีแบรนด์ยอดนิยมหลายแบรนด์ที่ให้ความสนใจ และมีอีกหลายแบรนด์ที่ยังไม่มีสาขาในบริเวณนี้ที่สนใจมาร่วมเปิดสาขาในโครงการ “The Spheres” ด้วยอย่างแน่นอน สำหรับในส่วนของราคาค่าเช่าถือว่าเป็นราคาที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับโครงการอื่นๆ อย่างแน่นอน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้

ทั้งนี้คาดการณ์ว่าเมื่อโครงการแล้วเสร็จ ในช่วงแรกวันธรรมดาจะมีผู้มาใช้บริการประมาณ 3000 คนต่อวัน และวันเสาร์-อาทิตย์ 5,000 คนต่อวัน และในอนาคตสามารถรองรับผู้มาใช้บริการได้ถึง 10,000 คนต่อวัน คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ  7-8 ปี จึงจะถึงจุดคุ้มทุน

และหากโครงการ  “The Spheres” ได้รับการตอบรับที่ดี ในอนาคตก็มีแผนที่จะนำที่ดินส่วนที่เหลืออีกประมาณ 12 ไร่ เพื่อพัฒนาโครงการในเฟสที่ 2 ต่อไป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*