แอล.พี.เอ็นฯเผยภาพรวมอสังหาฯครึ่งปีหลังยังไม่ค่อยฟื้นตัว ฝากการบ้านรัฐบาล “เศรษฐา 1”เร่งแก้ปัญหา 3 เรื่องหลักด่วน โดยเฉพาะภาคอสังหาฯในเรื่อง LTV-ยอดรีเจค ล่าสุดรุกตลาดชลบุรีผุดคอนโดฯเพื่อการลงทุนแบรนด์ใหม่”เอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น.”ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ เจาะกลุ่มทำงานย่านนิคมฯอมตะ มูลค่า 2,124 ล้านบาท พร้อมเปิดพรีเซลเฟสแรกวันที่ 29-30 ก.ย.66 คาดปิดการขายทั้งโครงการภายในปี 68 จ่อเปิดคอนโดฯเพื่อการลงทุนทำเลแนวรถไฟฟ้าสีเขียว และแนวราบจ.นครปฐม ในช่วงปลายปีต่อเนื่อง ด้าน LWS ระบุห้องชุดขนาด 26-30 ตารางเมตร ซื้อเพื่อการลงทุนอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 5-6 % ราคาค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3,500-9,000 บาทต่อหน่วย สะท้อนโอกาสนักลงทุนซื้อปล่อยเช่า
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลัง 2566 ว่า ยังไม่ค่อยดีขึ้น หากรัฐบาลชุด “นายเศรษฐา ทวีสิน” เข้ามาทำงาน ก็อยากให้แก้ไขปัญหาใน 3 เรื่องหลักอย่างเร่งด่วน ได้แก่

1.ภาคการท่องเที่ยว ที่สามารถดำเนินการได้ง่าย รวดเร็ว และเห็นผล

2.ภาคการส่งออก

3.ภาคอสังหาฯที่นายกฯต้องรีบแก้ไข เนื่องจากเป็นธุรกิจหลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาหลักในเรื่องมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV) และเรื่องยอด Reject  ซึ่งคาดหวังว่าประมาณเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน 2566 จะเริ่มเห็นภาพได้บ้าง

สำหรับแผนการดำเนินการในปี 2566 เดิมตั้งเป้าที่จะเปิดตัวทั้งหมด 17 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านบาท อาจจะปรับลดลงเล็กน้อย โดยเดิมจะเปิดตัวคอนโดฯประมาณ 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท แต่ปรับเหลือเพียง 3 โครงการ ซึ่งมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท ตามเป้าเช่นเดียวกัน และโครงการแนวราบอีกกว่า 10 โครงการ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท

โดยในส่วนคอนโดฯนั้น ในไตรมาสแรกได้เปิดตัวไปแล้ว 1 โครงการ คือ “พาร์ค 168 นพรัตน์-รามอินทรา”ไปแล้ว 1 โครงการ มูลค่า 2,800 ล้านบาท

ส่วนโครงการที่ 2 คือ“เอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น.”(EARN by LPN) ตั้งอยู่ในซอยเรืองอร่าม ตำบลดอนหัวฬ่อ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ใกล้นิคมอมตะซิตี้ บนพื้นที่กว่า 20 ไร่ ประกอบด้วย อาคารพักอาศัย สูง 8 ชั้น จำนวน 6 อาคาร, อาคารสูง 6 ชั้น 1 อาคาร โดยมีจำนวนรวม 1,810 ยูนิต ประกอบไปด้วยห้องพักอาศัย 3 รูปแบบ จำนวน 1,796 ยูนิต แบ่งเป็น แบบสตูดิโอ, 1 ห้องนอน และ 1 ห้องนอนพลัส ขนาดเริ่มต้น 24.00 – 36.00 ตารางเมตร(ตร.ม.)และพื้นที่ร้านค้า 14 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.10 – 1.69 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,124 ล้านบาทโดยมีสัดส่วนที่จอดรถยนต์ 570 คัน และรถจักรยานยนต์มากถึง 520 คัน โดยเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา ได้เปิดขายในรอบ VIP Day ปรากฏว่าสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 100 ยูนิต มูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท และจะเปิดพรีเซลเฟสแรก จำนวน 500 ยูนิต ในวันที่ 29-30 กันยายน 2566 นี้ โปรโมชั่นยูนิตราคาพิเศษเพียง 1.05 ล้านบาท* (จำนวนจำกัด) เฉพาะผู้ที่จองในวันงานเท่านั้น คาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 200 ยูนิต และจะสามารถปิดการขายได้ทั้งโครงการภายในปี 2568 ส่วนการก่อสร้างมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน 2567

โดย “เอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น.” เป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ล่าสุดจาก LPN ที่ต้องการเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ช่วงอายุ 25-30 ต้นๆ ที่ต้องการที่อยู่อาศัยคุณภาพในย่านนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการทั้งในเรื่องของการทำงาน และการใช้ชีวิตรวมถึงกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ ที่เริ่มต้นลงทุนในรูปแบบของอสังหาริมทรัพย์ โดยความหมายของคำว่า EARN คือ “ได้รับ” เป็นการแปลแบบตรงตัว เพราะตั้งใจที่จะพัฒนาโครงการดังกล่าวให้เป็นโครงการที่น่าอยู่ และลงทุนคุ้มค่า “คนอยู่เพลิน คนลงทุนก็ EARN ผลตอบแทน” เอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น. จึงมีคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างโดยจะสะท้อนไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยในย่านนี้อย่างชัดเจนทั้งในเรื่องของความสะดวกสบาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่าง  ครบครัน สะท้อนความสดใสของการใช้ชีวิต การได้รับ และการส่งต่อพลังงานบวกสู่คนรอบข้าง หลุดจากความจำเจไม่น่าเบื่อ และยังส่งมอบคุณค่าด้วยความคุ้มค่าให้กับชีวิตอีกด้วย ตามแบรนด์คอนเซ็ปต์คือ “อยู่ “เอิร์น” ชีวิตเพลินเกินกว่าใคร”(Joyful Living at EARN)

“การใช้แบรนด์ ‘ลุมพินี’มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ที่ผ่านมาก็เคยพัฒนาโครงการที่จ.ชลบุรี มาแล้วกว่า 4,000 ยูนิต ซึ่งได้ปิดการขายไปหมดแล้ว และมองว่า หากใช้แบรนด์เดิมในการพัฒนาก็อาจจะไม่ตอบโจทย์กับยุคสมัยปัจจุบัน จึงเริ่มปรับเพิ่มแบรนด์ใหม่ ตั้งแต่ ‘168’ซึ่งเป็นแบรนด์ที่อยู่อาศัยระดับพรีเมียม และล่าสุดคอนโดฯแบรนด์ ‘เอิร์น’ โดยจะเห็นว่าในช่วงหลังๆ LPN จะกระจายไปหลายตะกร้า นั่นจึงเป็นที่มาของแบรนด์ที่อยู่อาศัยใหม่ๆ ซึ่งก็ยังไม่ใช่แบรนด์สุดท้ายของ LPN ในยุคนี้ เราจึงเป็น LPN ที่เปลี๊ยนไป๊” นายโอภาส กล่าว

นายโอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า เดิมที่ดินแปลงดังกล่าวบริษัทฯมีแผนที่จะพัฒนาเป็นทาวน์เฮาส์ ประมาณ 15 ไร่ และคอนโดฯประมาณ 5 ไร่ แต่เมื่อมาดูศักยภาพทำเลที่ตั้ง และวิเคราะห์ข้อมูลแล้ว จึงได้ปรับเปลี่ยนแผนเป็นการพัฒนาคอนโดฯทั้งหมด แต่เพิ่มพื้นที่ส่วนกลางเพิ่มมากขึ้น โดยมีขนาดใหญ่กว่า 6 ไร่ ที่ตอบรับความต้องการของผู้อยู่อาศัยในทุกไลฟ์สไตล์ อาทิ Half Olympic Swimming Pool, Futsal Field, Outdoor Gym, Jogging Track, Fitness และ Co-Living space โดยได้รับการออกแบบพื้นที่เน้นเรื่องของการเชื่อมต่อกันด้วยสวนระหว่างอาคารเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งการพักผ่อนที่ดีที่สุด รวมทั้งการเลือกสรรพันธุ์ไม้ที่ทนต่อน้ำเค็มและดูแลรักษาง่าย ทั้งยังเป็นพันธุ์ไม้ที่ช่วยฟอกอากาศ และสามารถดักจับฝุ่นละออง ด้วยรูปแบบอาคารที่ออกแบบเป็นรูปตัว I ทำให้สามารถเปิดรับแสงและลมธรรมชาติเข้าสู่พื้นที่อาคารได้ตลอดเวลา ซึ่งสะท้อนแนวคิดความน่าอยู่ของ LPN จากภายในสู่ภายนอกได้อย่างดี

และคอนโดฯโครงการที่ 3 ในปีนี้ ตั้งอยู่แนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว มูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

“นอกจากโครงการเพื่อการลงทุนอย่าง เอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น. ที่เปิดขายแล้วใน จ.ชลบุรี ปัจจุบันยังมีโครงการเพื่อการลงทุนที่ยังเปิดขายอยู่คือ โครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต คลอง 1 ซึ่งที่ชลบุรี จะใช้โมเดลกับที่รังสิต คือ มีทีมบริหารงานเช่าให้ โดยอาจจะมีค่าฟีเล็กน้อย โดยในอนาคต LPN ยังมีแผนการพัฒนาโครงการคอนโดฯเพื่อการลงทุนเพิ่มเติมอีกในทำเลกรุงเทพฯ ใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งกำหนดเปิดขายในช่วงปลายไตรมาส 4 ของปี 2566” นายโอภาส กล่าวเพิ่มเติม

สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยที่บริษัทฯจะเปิดตัวในต่างจังหวัด ยังคงเป็นไปตามแผน คือในปีนี้จะรุกพัฒนาใน 2 จังหวัด โดยเปิดตัวคอนโดฯที่จ.ชลบุรี ในปลายเดือนกันยายน นี้แล้ว และในปลายปี 2566 ยังมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ตั้งอยู่บริเวณจ.นครปฐม บนพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ ระดับราคาประมาณ 1 ล้านบาทต้น ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ในขณะนี้

นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LWS) ในเครือ LPN  กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ในทำเลนี้มีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวโครงการจำนวนมากตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา และเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาพบว่า มีจำนวนที่อยู่อาศัยที่เปิดตัวโครงการ และอยู่ระหว่างการขายในพื้นที่บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา, อมตะซิตี้ ชลบุรี อ.เมืองชลบุรี และอ.ศรีราชา-แหลมฉบัง จ.ชลบุรี รวมทั้งสิ้น 9,495 หน่วย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 35,000 ล้านบาท จากผลการสำรวจพบว่าเป็นกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อในทำเลนี้  เป็นทั้งกลุ่มนักลงทุนและพนักงานที่ทำงานอยู่ในย่านนิคมอุตสาหกรรม ที่มีระดับราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000-50,000 บาทต่อเดือน ในขณะที่การซื้อเพื่อการลงทุนอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 5-6 % โดยมีราคาค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3,500-9,000 บาทต่อหน่วย สำหรับห้องชุดขนาด 26-30 ตารางเมตร โดยความต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อเช่าในทำเล EEC มีสัดส่วนที่สูง โดยอัตราการเช่าอพาร์ตเมนต์ และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ มีสัดส่วนเฉลี่ย 80-90% ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการที่พักอาศัยในทำเลนี้ยังมีอยู่ จึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่จะซื้อเพื่อการลงทุนและปล่อยเช่า

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*