เฟรเซอร์สฯเผยภาคอสังหาฯปี66 ยังต้องฝ่าอีกหลายปัจจัยลบ ผู้ประกอบการเผชิญความท้าทาย Rejaction Rate และการตัดสินใจซื้อที่ช้าลงของลูกค้า ด้านบริษัทหลังปรับโครงสร้างใหม่ เตรียมตั้ง 3 แนวทางรับมือ ปี67 เตรียมแผนเชิงรุกสร้างการรับรู้ Brand Awareness เพิ่มสัดส่วนบ้านเดี่ยว ระดับราคา 20-200 ล้านบาท เป็น 40% เจาะฐานลูกค้ากทม.-ตจว. ทั้งขยายตลาดคอนโดฯโลว์ไรส์-ไฮไรส์ในเมือง ราคา 1-1.5 แสนบาท/ตารางเมตร หวังเจาะเรียลดีมานด์ ตั้งเป้าติด Top 5 แบรนด์อสังหาฯไทยในปี 68
นายสมบูรณ์ วศินชัชวาล
นายสมบูรณ์ วศินชัชวาล รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทในกลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) หรือ FPT  เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่บริษัทฯได้มีการปรับโครงสร้างภายในองค์กร มองว่าภาคอสังหาฯยังมีปัจจัยลบที่ท้าทายอีกมาก โดยในภาพรวมเศรษฐกิจมองว่ายังมีความเปราะบาง จากหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง การส่งออกที่ถดถอย และอัตราดอกเบี้ยที่สูง ขณะที่ภาพรวมอสังหาฯนั้น กำลังซื้อน้อยลง แต่การแข่งขันและราคาที่ดินกลับสูงขึ้น รวมไปถึงต้นทุนที่ดินก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน แต่ละโซนมีการปรับราคาขึ้นประมาณ 20% ขณะเดียวกันสถาบันการเงินก็มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น จากปัจจัยดังกล่าวทั้งหมด ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯต้องเผชิญความท้าทาย โดยเฉพาะในเรื่อง Rejaction Rate เพราะสถาบันการเงินมีความกังวลในเรื่องหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPL) และลูกค้าที่ตัดสินใจได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตามบริษัทฯได้เตรียม 3 แนวทางในการรับมือกับปัจจัยลบ ได้แก่

1.จับมือกับสถาบันการเงิน ในเรื่องการผ่อนต่ำ/ดอกเบี้ยต่ำ

2.ปรับลดต้นทุนส่วนเกิน โดยไม่กระทบคุณภาพ

3.ปรับสินค้าให้เหมาะสมกับกำลังซื้อลูกค้า

นายสมบูรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มของตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ปี 2567 ยังมีทิศทางที่ดีอยู่ โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยว ซึ่งเป็นโครงการที่เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง ที่พฤติกรรมลูกค้าจะเปลี่ยนไป หันมาซื้อบ้านเดี่ยวมากขึ้น ดังนั้นนับจากนี้ไป บริษัทฯจึงมีแผนสร้างการรับรู้ Brand Awareness ให้ลูกค้ารับรู้แบรนด์เฟรซอร์สฯมากขึ้น อีกทั้งสามารถแข่งขันในตลาดได้ จากเดิมที่ก่อนหน้านี้จะเน้นการพัฒนาทาวน์เฮาส์ มากในสัดส่วนเกือบ 60% บ้านเดี่ยว 25% และบ้านแฝด 15% จะปรับเพิ่มบ้านเดี่ยวเป็น 40%(ระดับราคา 20-200 ล้านบาท) ทาวน์เฮาส์ปรับลดเหลือ 30% และบ้านแฝดอีกกว่า 20% ที่เหลือจะเป็นคอนโดมิเนียม ซึ่งปัจจุบันมีเพียง 1 โครงการ คือ “ KLOS RATCHADA 7” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่ ราคาเริ่มต้นที่ 3.1 ล้านบาทขึ้นไป จำนวนกว่า 100 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งมีแผนจะเปิดตัวในเร็วๆนี้ นอกจากนี้บริษัทฯยังอยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูลที่จะพัฒนาคอนโดฯอีกประมาณ 2-3 โครงการ โดยจะเน้นโครงการที่สามารถรีเทิร์นรายได้กลับมาเร็วที่สุด คือระดับราคาประมาณ100,000-150,000 บาท/ตาราเมตร โดยในระยะแรกจะเน้นพัฒนาคอนโดฯโลว์ไรส์ก่อน แต่ในปี 2567 เริ่มที่จะมองการพัฒนาคอนโดฯไฮไรส์ด้วย ซึ่งจะเน้นการพัฒนาเองเป็นหลัก แต่หากมีผู้ประกอบการรายใดสนใจจะให้เข้าไปเทกโอเวอร์นั้น บริษัทฯก็ไม่ปิดโอกาส ซึ่งต้องดูราคาและความเหมาะสมด้วย

นอกจากนี้บริษัทฯยังเตรียมขยายฐานตลาดแนวราบไปต่างจังหวัดมากขึ้น โดยขณะนี้เตรียมที่ดินไว้แล้ว 2 แปลงในหัวเมืองใหญ่ในภาคอีสาน คือ นครราชสีมา และขอนแก่น ในการพัฒนาบ้านเพื่อรองรับเรียลดีมานด์ ส่วนภาคใต้นั้นปัจจุบันบริษัทฯยังไม่เคยเข้าไปพัฒนา และอยู่ในระหว่างการมองหาที่ดินในหัวเมืองใหญ่ เช่น สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และสงขลา เพื่อพัฒนาโครงการแนวราบ เจาะเรียลดีมานด์

“จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอกที่เกิดขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศด้วย ทำให้แผนการดำเนินงานในปี 2567 ของธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขายต้องมีการปรับเปลี่ยน โดยเฉพาะแผนการเปิดโครงการใหม่ ที่อยู่ระหว่างการเฝ้าติดตามปัจจัยภายนอกอย่างใกล้ชิด แม้ว่าบริษัทจะเตรียมที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2567 ไว้แล้ว แต่ยังมีความไม่แน่นอนที่อาจเข้ามากระทบต่อแผนการเปิดโครงการในปีหน้าได้ ขณะที่การพัฒนาโครงการทาวน์โฮม ยอมรับว่ามีแรงกดดันจากการที่สถาบันการเงินยังเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออยู่มาก และกลุ่มลูกค้าที่ซื้อทาวน์โฮมมีภาระหนี้สินที่สูง แม้ว่าผ่านโควิด-19 มาแล้ว แต่กลุ่มลูกค้าที่ซื้อทาวน์โฮมยังเผชิญกับอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่สูงมากถึง 52%  ประกอบกับภาวะดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้ความสามารถในการกู้ลดลง ส่งผลให้บริษัทมีการขยับพอร์ตการพัฒนาโครงการไปยังบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นนั่นเอง”นายสมบูรณ์ กล่าว

สำหรับแผนงานในช่วงโค้งของปี 2566 ซึ่งเป็นช่วงไตรมาส 1/2566-2567 (ตุลาคม-ธันวาคม 2566) ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 3,000 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งมาจากการขายโครงการที่เปิดไปแล้วและโครงการพร้อมอยู่ และจากคอนโดมิเนียม “ KLOS RATCHADA 7 ที่จะช่วยเข้ามาเสริมยอดขายในช่วงปลายปีนี้

“ในปีหน้าบริษัทฯ เตรียมรีเฟรชแบรนด์ใหม่ให้มีความชัดเจน สอดรับความเป็นหนึ่งเดียวกันกับแบรนด์เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยมากขึ้น เพื่อสร้างการจดจำแบรนด์และเป็นที่รู้จักของผู้บริโภค โดยตั้งเป้าติด Top 5 แบรนด์อสังหาริมทรัพย์ของไทยในปี 2568 ซึ่งจากสินค้าที่มีหลากหลายเซกเมนต์และครอบคลุมทุกความต้องการนั้น นอกจากจะสร้างความยืดหยุ่นทางธุรกิจและความสามารถในการบาลานซ์พอร์ตฯ ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังเป็นการส่งมอบการอยู่อาศัยและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้า อันสอดรับกับเจตนารมณ์ Inspiring experiences, creating places for good. หรือสร้างสรรค์พื้นที่ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ ของ บริษัท เฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน)อีกด้วย” นายสมบูรณ์ กล่าว

นายภวรัญชน์ อุดมศิริ
นายภวรัญชน์ อุดมศิริ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมาการดำเนินงานของโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบประสบความสำเร็จในการดำเนินงานตามกลยุทธ์ที่วางไว้ ทั้งการเปิดตัวโครงการบ้านทุกระดับราคา โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี รวมถึงพัฒนาบ้านแฝดและทาวน์โฮมที่มีฟังก์ชันโดดเด่นโดนใจผู้บริโภค บวกกับการจัดแคมเปญกระตุ้นตลาด ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายดีต่อเนื่อง และรักษาระดับการเติบโตของธุรกิจได้อย่างสม่ำเสมอ โดยปี 2567 จะเปิดโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ทั้งแบรนด์ The Grand, Grandio, Prestige และ NEO Home

ทั้งนี้แนวโน้มการอยู่อาศัยในตลาดต่างจังหวัดจะเลือกซื้อโครงการบ้านจัดสรรมากกว่าการปลูกสร้างเอง เพราะได้สินค้าที่ตรงตามความต้องการ แต่หากก่อสร้างเอง งบประมาณอาจบานปลายหรือสร้างได้ตามงบประมาณ แต่คุณภาพไม่ได้ตามที่ต้องการ  อีกทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคในตลาดต่างจังหวัดจะไม่ชอบอยู่ทาวน์เฮาส์หรือคอนโดฯ แต่จะชอบอยู่อาศัยบ้านเดี่ยวมากกว่า เนื่องจากมีพื้นที่ใช้สอยที่มาก ราคาเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเมือง เพราะต่างจังหวัดสามารถเดินทางได้ง่าย ขณะที่พฤติกรรมของผู้อยู่อาศัยในกทม.จะนิยมเลือกทาวน์เฮาส์และคอนโดฯ เนื่องจากอยู่ใกล้เมือง และการคมนาคมสะดวกกว่าการซื้อที่อยู่อาศัยนอกเมือง

ด้วยเป้าหมายส่งมอบการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืนผ่านการออกแบบและก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมเดินหน้าใช้พลังงานสะอาดกับการติดตั้ง EV Charger และโซลาร์เซลล์   ที่มีแผนว่าในปี 2567จะติดตั้งโซลาร์เซลล์ในคลับเฮาส์และบ้านตัวอย่างใน 71 โครงการ จำนวน 1,470 กิโลวัตต์ เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น

ปัจจุบันบ้านเดี่ยวที่เฟรเซอร์สฯพัฒนามีจำนวนทั้งสิ้น 5 แบรนด์ ประกอบด้วย

1.เพรสทีส ระดับราคา 5-8 ล้านบาท

2.แกรนดิโอ ระดับราคา 8-20 ล้านบาท

3.อัลพีน่า ระดับราคา 20-50 ล้านบาท

4.เดอะ แกรนด์ ระดับราคา 20-50 ล้านบาท

5.เดอะรอยัล เรสซิเดนซ์ ระดับราคา 100-200 ล้านบาท

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*