ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปจากอดีตเป็นอย่างมาก โดยมีแยกตัวมาอยู่อาศัยอยู่ตัวคนเดียว หรือหากอยู่ร่วมกับคู่ชีวิตจะไม่นิยมมีทายาท ซึ่งไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมดังกล่าว นอกจากจะทำให้แนวโน้มจำนวนประชากรในประเทศลดลงแล้ว ยังก่อเกิดพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่นิยมเลี้ยงสัตว์แทนการมีลูก 
สำหรับแนวโน้มกาลดลงของจำนวนประชากรในประเทศจากการมีบุตรน้อย หรือไม่นิยมมีบุตรของคนรุ่นใหม่นั้นเริ่มมีให้เห็นมากขึ้นในสังคม ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่ได้เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ไลฟ์สไตลด์คนยุคปัจจุบันมีลูกลดลงถึง 400,000 คน ต่ำสุดในรอบ 28 ปี ถึงแม้ว่าในปี 2563 ที่ผ่านมา รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการมีบุตร ถึงขั้นที่ว่า ต้องออกมาตรการส่งเสริมการมีบุตร ที่เรียกว่า “ปั๊มลูกเพื่อชาติ” โดยให้แรงจูงใจต่างๆ แต่ไม่ได้ช่วยให้อัตราการเกิดใหม่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
อีกทั้งไลฟ์สไตล์คนยุคปัจจุบันก็นิยมอยู่เป็นโสดกันมากขึ้น หรือแต่งงานช้าลง ดังนั้นมีการคาดการณ์ว่าในปีต่อๆ ไปอัตราการเกิดจะน้อยกว่าอัตราการตาย หากอัตราการเกิดบ้านยังต่ำเช่นนี้ เชื่อว่าในอีก 20 ปีข้างหน้าประชากรไทยจะเหลือเพียง36 ล้านคน และเทรนด์ที่กำลังมาแรงจนถึงปัจจุบันคือ กลุ่มคนมีครอบครัวแต่ไม่มีลูก หรือคนโสด ก็จะหาสัตว์เลี้ยง อาทิ สุนัข แมว นก ฯลฯมาเลี้ยงเป็นเพื่อนแก้เหงา
ซึ่งจากผลการสำรวจของ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัดหรือ LWS ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ระบุว่า ความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมที่สามารถเลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้ (Pet Friendly Condominium) มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลการสำรวจของ “LWS” พบว่าในปี 2565 ที่ผ่านมามีโครงการอาคารชุดที่พักอาศัยที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งสิ้น 5,663 ยูนิต เพิ่มขึ้น 4,394% จากจำนวน 157 ยูนิต ในปี 2561 
นับเป็นภาพสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไปสอดคล้องกับพฤติกรรมของคนไทยในปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในแบบ “pet humanization” หรือที่เรียกว่า พฤติกรรมที่เจ้าของเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงเสมือนลูก หรือเป็นสมาชิกของครอบครัว จากการคาดการณ์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 8.4% มาอยู่ที่ 66,748 ล้านบาทในปี 2569
จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้การพัฒนาโครงการอาคารชุดพักอาศัยที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้จึงเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่กำลังให้ความสำคัญใน 6 ประเด็น ดังนี้ 
-โครงการมีพื้นที่เดินเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยง และต้องมีความปลอดภัย เช่น รั้วกั้นสัตว์ภายนอกเข้ามาทำร้ายสัตว์เลี้ยงภายในโครงการ
-ระบบระบายอากาศ เพราะ การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงอาจส่งผลให้มีกลิ่นได้ ตัวอาคารเองควรมีระบบระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพเพื่อรักษาภาพอากาศในห้องชุดพักอาศัยและห้องส่วนกลาง
-การจัดการของเสียที่เกิดจากสัตว์เลี้ยง เพราะการเลี้ยงสัตว์อาจส่งผลให้มีขยะเพิ่มขึ้น 
-การใช้สารพิษในการกำจัดปลวก/แมลง เพื่อไม่ให้สร้างความเสี่ยงต่อสัตว์เลี้ยง
-การควบคุมเสียง: การควบคุมเสียงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อไม่ให้สัตว์เลี้ยงทำเสียงรบกวนผู้อยู่อาศัยอื่นๆ เช่น การติดตั้งแผ่นซับเสียงในห้องชุด/พื้นที่ส่วนกลางเป็นต้น
-การศึกษาผู้อยู่อาศัย: ควรมีการสร้างความเข้าใจและการศึกษาผู้อยู่อาศัยเกี่ยวกับความสำคัญของการเลี้ยงสัตว์และกฎระเบียบเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงในอาคารชุด เพื่อให้ทุกคนสามารถร่วมมือกันในการรักษาความสงบสุขและการอยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงได้ 
อีกทั้งผลการสำรวจ ยังพบว่ามี 6 งานบริการ ที่จะได้รับอานิสงส์ และเป็นที่ต้องการของผู้ซื้อคอนโดฯ สัตว์เลี้ยง ดังนี้
1.บริการฝากดูแล/พาสัตว์เลี้ยงเดินเล่น
2.บริการทำความสะอาดห้องชุดที่มีสัตว์เลี้ยง 
3.บริการออกแบบและติดตั้งอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยงในห้องชุด 
4.ร้านขายอาหารสัตว์และอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง
5.บริการสปา/อาบน้ำ/แต่งขนสัตว์เลี้ยง 
6.บริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพสัตว์เลี้ยง 
ส่งผลให้ปัจจุบันมีผู้ประกอบการอสังหาฯพัฒนาคอนโดฯเพื่อกลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยงกันอย่างต่อเนื่อง แต่กลุ่มที่มีความชัดเจนและโดดเด่นที่สุดคือ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน)หรือ MJD ที่ถือเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯรายแรกที่บุกเบิกคอนโดฯสำหรับคนรักสัตว์ และที่ตามมาติดๆก็คือ บริษัท ออริจิ้นคอนโดมิเนียม จำกัด ผู้พัฒนาโครงการกลุ่มสมาร์ทคอนโดมิเนียมในเครือ บริษัทออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI
นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์
ยืนหนึ่งผู้ริเริ่มคอนโดฯเพื่อคนรักสัตว์เลี้ยง
นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน)หรือ MJD เปิดเผยว่า ได้เป็นผู้ริเริ่มคอนโดฯเพื่อคนรักสัตว์ ตั้งแต่พัฒนาโครงการแรก คือ “แฮมป์ตัน ทองหล่อ 10” ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540 จนถึงปัจจุบัน รวมกว่า 50 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 80,000 ล้านบาท โดยแต่ละโครงการไม่ได้มีการกำหนดกฎเกณฑ์ ว่าแยกเป็นสัดส่วนสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงจำนวนกี่เปอร์เซ็นต์ แต่ขึ้นอยู่กับทำเลและแบรนด์ไหน ที่มีดีมานด์กลุ่มนี้อยู่อาศัยมาก-น้อย แตกต่างกันไป แต่โดยรวมคาดว่าอยู่ที่ประมาณ 50-60% เพราะลูกค้าที่ต้องการเลี้ยงสัตว์ในคอนโดฯได้นั้น แบรนด์แรกที่นึกถึงคือ เมเจอร์ฯ โดยทุกเซกเมนต์ B ถึง A+ได้รับการตอบรับที่ดี ลูกค้ามีทั้งระดับผู้บริหาร กลุ่มพนักงานทั่วไป และนักศึกษา ซึ่งทุกโครงการจะมีกฎระเบียบว่าแต่ละยูนิต สามารถเลี้ยงสัตว์ได้กี่ตัว ขึ้นอยู่กับพื้นที่ใช้สอย และโซนไหนสามารถนำสัตว์เลี้ยงเข้าไปได้ เพราะเป็นห่วงเรื่องสุขอนามัย อีกทั้งวัสดุที่ใช้ในทุกยูนิตก็ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยง ทั้งนี้เพื่อให้ทั้งคนที่เลี้ยงสัตว์และไม่ได้เลี้ยงสัตว์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

“ปัจจุบันคนหันมาเลี้ยงสัตว์กันมากขึ้น ซึ่งมีตั้งแต่ Gen X – Gen Z ซึ่งไม่ได้มีแค่สุนัขและแมว แต่ยังมีสัตว์อื่นๆอีกด้วย แล้วแต่ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ดังนั้นกฎระเบียบก็ต้องปรับให้ทันสมัยมากขึ้น ซึ่งก่อนเข้าอยู่อาศัย ลูกค้าทุกรายต้องแจ้งก่อนว่าจะเลี้ยงสัตว์ประเภทไหน จำนวนกี่ตัว โดยจากประสบการณ์ที่พัฒนาคอนโดฯเพื่อคนเลี้ยงสัตว์ ก็ได้มีการเรียนรู้จากทุกโครงการ เพราะเข้าใจว่าแต่ละคนมีความต่าง มีความหลากหลายทางความคิด ซึ่งเป็นสิ่งที่เมเจอร์ฯให้ความสำคัญตั้งแต่แรก ซึ่งก็มีบ้างที่มีปัญหา แต่เราก็ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราไม่ใช่แค่ Pet Friendly แต่เป็น Pet Family เสมือนสมาชิกในครอบครัว ทำให้เมเจอร์ฯ ครองอันดับ 1 ด้าน Pet-Friendly Residences มาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี”

พัฒนาโครงการเพราะเป็นคนรักสัตว์ ไม่ใช่ตามเทรนด์

เทรนด์คอนโดฯเพื่อการเลี้ยงสัตว์ในปี 2567 มองว่าเริ่มมีผู้ประกอบการหลายรายหันมาพัฒนาคอนโดฯเพื่อการเลี้ยงสัตว์มากขึ้น แต่ในการพัฒนาก็จะต้องผ่านการเรียนรู้ ไม่มีใครผิดหรือถูก 100% แต่ที่เมเจอร์ฯพัฒนาโครงการรูปแบบดังกล่าวขึ้นมาไม่ใช่เพราะเป็นเทรนด์ แต่เป็นเพราะโดยส่วนตัวเป็นผู้ที่รักสัตว์อยู่แล้ว จึงอยากให้สัตว์เลี้ยงเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวด้วย นอกจากนี้ยังมีบริษัทในเครือที่บริหารอาคาร และดีลกับโรงพยาบาลสัตว์ต่างๆ อาทิ ร่วมมือกับ โรงพยาบาลคชาเว็ท จัดหลักสูตร “ทักษะดูแลสัตว์เลี้ยงชั้นยอด Pet Family Expertise Program” เพื่อเทรนด์ทีมงาน เพื่อให้รู้วิธี การบริหารจัดการดูแลสัตว์เลี้ยงและสร้างสุขอนามัยให้กับโครงการ หากไม่มีความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวก็จะทำให้มูลค่าของโครงการลดลงไป

ข้อมูลการศึกษาวิจัยจาก Euromonitor และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ตลาดธุรกิจสัตว์เลี้ยงโตสวนกระแส โควิด-19 โดยคาดว่าในปี 2569 ตลาดสัตว์เลี้ยงของโลกเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.2% (CARG – Compound Annual Growth Rate) โดยเฉพาะตลาดภาคพื้นเอเชีย เช่นเดียวกับมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยจะเติบโตจากปี 2564 ปีละ 8.4% (CARG) มาอยู่ที่ 66,748 ล้านบาท ในปี 2569 นอกจากนี้ข้อมูลการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณของวิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล หรือCMMU จากกลุ่มตัวอย่าง 1,046 คน พบว่า 80.7% ของผู้ที่เลี้ยงสัตว์ มีสถานะโสดขณะที่ 19.3% มีสถานะสมรสแล้ว โดย 18% ของกลุ่มตัวอย่างบอกว่าเลี้ยงสัตว์เพื่อช่วยเหลือ และช่วยบำบัดรักษา (Pet Healing) เนื่องจากสัตว์เลี้ยงบำบัดมีประโยชน์อาทิ เพิ่มความสุข เพราะช่วยเพิ่มระดับสาร Oxytocin ได้ 20% และทำให้สภาพจิตดีช่วยลดความเสี่ยงการเกิดความดันโลหิต รวมถึงช่วยเยียวยาจิตใจหรือร่างกาย

“ด้วยความที่เราดำเนินการด้านนี้มานานมาก จึงมีพันธมิตรใหม่ๆเข้ามาตลอด ซึ่งก็ต้องสกรีนว่ามีพันธมิตรรายไหนที่มีความน่าเชื่อถือบ้าง เราก็จะดีลกัน และมอบส่วนลดให้กับลูกบ้านโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง”

นอกจากนี้ลูกค้าที่ลงทะเบียนสัตว์เลี้ยงกับเมเจอร์ฯ ก็จะได้รับ “เวลคัม แพ็กเกจ” อาทิ การตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยง ทำประกันให้กับสัตว์เลี้ยงฟรีต่อเนื่องทุกปี โดยลูกค้าที่เข้ามาหาเราส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ที่เลี้ยงสัตว์ เพราะที่เราพัฒนาโครงการขึ้นมานั้นมาจาก Passion ของเราจริงๆ เมื่อเกิดปัญหาเราก็ปรับปรุงและนำไปต่อยอด จึงกล้าบอกได้ว่าสัตว์เลี้ยงมีความเข้าใจอะไรและกล้าบอกได้ว่าเป็นผู้นำตลาดคอนโดฯเพื่อคนรักสัตว์เลี้ยง เพราะยังไม่มีผู้ประกอบการายใดที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ทุกโครงการ และในปีนี้จะมีดีลแคมเปญ และกิจกรรมใหม่ๆที่น่าสนใจมากขึ้น

นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ

เจาะตลาด Pet Lover แล้ว 16 โครงการ รวมมูลค่า 2.6 หมื่นล้านบาท

นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียมจำกัด ผู้พัฒนาโครงการกลุ่มสมาร์ทคอนโดมิเนียมในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2564 บริษัทได้เดินหน้าบุกตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่ม Pet Lover อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่นิยมเลี้ยงสัตว์ในที่อยู่อาศัยมากขึ้นซึ่งที่ผ่านมาได้เน้นการพัฒนาคอนโดฯสำหรับกลุ่ม Pet Lover ทั้งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ค่อนข้างมาก โดย ณ สิ้นปี 2566 มีโครงการภายใต้แผนพัฒนาสะสมทั้งสิ้น 16 โครงการ  คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมประมาณ 26,000 ล้านบาท รวมประมาณ 3,550 ยูนิต ครอบคลุมหลากหลาย แบรนด์ อาทิ บรอมพ์ตัน (Brompton) บริกซ์ตัน (Brixton) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play) ออริจิ้นปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play) ออริจิ้น เพลส (Origin Place) ส่งผลให้ปัจจุบัน บริษัทก้าวขึ้นมาเป็นผู้พัฒนาคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้สะสมในตลาดมากที่สุดอันดับ 1

ทั้งนี้ บริษัทได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยมจากผู้บริโภคด้วยหลากหลายปัจจัย ได้แก่

1.การเติบโตของเทรนด์ Pet Humanization ที่คนหันมาเลี้ยงสัตว์เสมือนลูกมากขึ้นอัตราการเติบโตของสุนัขและแมวที่มีเจ้าของ จากปี 2562 ถึง 2565 เพิ่มขึ้นถึง 64% สวนทางกับอัตราการเกิดใหม่ของเด็กที่มีอัตราลดลงถึง 20% ขณะเดียวกัน การเติบโตของ  เทรนด์ดังกล่าว ยังสะท้อนผ่านมูลค่าตลาดสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2566 จะมีมูลค่าสูงถึง 56,000 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 10-12%

2.ความสนใจเลี้ยงสัตว์ในคอนโดฯ จากเดิมที่ผู้บริโภคนิยมเลี้ยงสัตว์ตามบ้านจัดสรรเป็นหลัก ก็เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม ต้องการเลี้ยงสัตว์ในคอนโดฯมากขึ้นสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมเมือง

3.การกระจายบุกหลากทำเลทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล จากเดิมที่คอนโดฯสำหรับPet Lover มักกระจุกตัวอยู่เฉพาะในเขตเมือง บริษัทได้กระจายบุกไปทั่วทั้งกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ครอบคลุมทั้งรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน สายสีส้ม สายสีเหลือง ซึ่งเป็นทำเลที่ยังไม่มีคู่แข่ง แต่มีความต้องการสูง

4.ความใส่ใจคัดสรรวัสดุและการออกแบบที่เข้าใจทั้งคนและสัตว์เลี้ยง ผ่านการวิจัยและความร่วมมือกับพันธมิตร

5.การเลือกพัฒนาโครงการแบบมิกซ์โปรดักส์ กรณีพัฒนาคอนโดฯ Low-rise ที่มีหลายอาคาร จะมีแบ่งบางอาคารเป็นคอนโดฯสำหรับ Pet Lover และบางอาคารเป็นคอนโดฯปกติ เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคทั้งที่ต้องการเลี้ยงสัตว์และไม่ต้องการเลี้ยงสัตว์สามารถอยู่อาศัยในโครงการทำเลเดียวกันได้ ผ่านการแบ่งอาคารที่ชัดเจน โดยหากนับเฉพาะยูนิตที่เลี้ยงสัตว์ได้ จะมีสะสมแล้วถึง 3,550 ยูนิตคิดเป็นมูลค่าเฉพาะยูนิตเลี้ยงสัตว์ได้สะสมกว่า 8,700 ล้านบาท

สำหรับปี 2566 ที่ผ่านมาเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับ Pet Lover ทั้งสิ้น 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 13,025 ล้านบาท นับจนถึงปัจจุบันเครือออริจิ้นฯมีโครงการคอนโดฯเลี้ยงสัตว์ได้ มีทั้งหมด 16 โครงการรวม 3,550 ยูนิต โดยแบ่งเป็น 2 เซกเมนต์หลัก คือ ระดับราคา 50,000-80,000 บาท/ตารางเมตร และระดับราคา 80,000-120,000 บาท/ตารางเมตร หรือเฉลี่ยที่ราคา1.5-3 ล้านบาทบวกบวกขึ้นไป แต่ไม่เกิน 4 ล้านบาท

ปลื้มสินค้าตอบโจทย์ลูกค้า ไม่เกิน 3 เดือน กวาดยอดขาย 80%

ทั้งนี้โดยรวมแล้วพบว่าคอนโดฯสำหรับ  Pet Lover ค่อนข้างมียอดขายที่ดี และมียอดขายที่เร็วกว่าโครงการที่เน้นการขายที่เป็นเรสซิเด้นซ์ ถึง 50-60% โดยแต่ละโครงการจะแบ่งเป็นห้องชุดสำหรับ Pet Lover สัดส่วน 30% จากยูนิตรวมทั้งหมดซึ่งสามารถทำยอดขายได้ดี โดยระยะเวลาไม่เกิน 3 เดือน จะทำยอดขายได้ถึง 80% โดยลูกค้าหลักอันดับ 1 คือ กลุ่มคนโสด ที่เลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อน รองลงมาคือกลุ่มคู่รักหรือสามี-ภรรยา ที่ไม่มีลูก และกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ที่เป็นกลุ่ม Gen Y ทั้งหมด ซึ่งสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่มีราคาตั้งแต่ 20,000-40,000 บาท/ตัว โดยมีทั้งสุนัขและแมว ในสัดส่วนที่เท่ากัน แต่บริษัทฯมีเงื่อนไขให้เลี้ยงได้เพียง1 ตัว/ยูนิตเท่านั้น

สำหรับปัญหาระหว่างกลุ่มคนเลี้ยงสัตว์กับคนไม่เลี้ยงสัตว์ จากการที่โอนห้องชุดไปแล้ว 2 โครงการ คือ “บริกซ์ตัน เพ็ท แอนด์ เพลย์ สุขุมวิท 107”จำนวน 2 อาคารเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา ก็พบว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะเป็นคอนโดฯเพื่อกลุ่ม  Pet Lover 100%

แต่ในต้นปี 2567 จะเริ่มทยอยโอนโครงการ “ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์รามอินทรา” นั้น มีการแบ่งสัดส่วน และได้มีการเจรจากับลูกค้า ตั้งแต่วันที่เริ่มจองว่า  มีการแยกโซน แยกลิฟต์ ในการเลี้ยงสัตว์อย่างชัดเจน รวมไปถึงแบ่งแยกการดูแลในโครงการ

ในส่วนการดีลกับพันธมิตรต่างๆนั้น ที่ผ่านมาบริษัทฯได้ให้ความสำคัญกับเรื่องข้อมูลเชิงลึก หรือ Insight ของทั้งเจ้าของและสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาบริษัทจึงได้จัดตั้ง “RED Team By Origin” หรือ Research for Excellent Development Team (ทีมวิจัยเพื่อการพัฒนาที่เป็นเลิศ) ขึ้น รวบรวมบุคคลที่เชี่ยวชาญจากหลากหลายฝ่าย ทั้งทีมวิจัยการตลาด ทีมออกแบบ ทีมพัฒนาความยั่งยืน เป็นต้น มาร่วมกันดำเนินงาน 4 ด้านหลัก ได้แก่

1.Customer Experience Design รับผิดชอบด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้เกิดการออกแบบและการบริการที่รองรับกับพฤติกรรมลูกค้าได้อย่างตรงจุด

2.Product Development พัฒนาออกแบบสินค้าออกไปให้มีคุณภาพและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและการบริการที่ครอบคลุม ด้วยการออกแบบที่มีฐานการวิจัยรองรับ

3.Marketing Intelligence วิจัยด้านการตลาด เพื่อหาเทรนด์ใหม่ๆ และอัปเดตความต้องการให้เข้ากับยุคสมัยอย่างต่อเนื่อง

4.Sustainability Development ร่วมพัฒนาเพื่อสังคมและสภาพแวดล้อม ให้ผู้คนได้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี บนความเป็นอยู่ที่ดีและยั่งยืน

สำหรับโปรเจกต์แรกของทีม RED คือการวิจัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสัตว์เลี้ยงและคนรักสัตว์เลี้ยงอย่างสร้างสรรค์ สู่การพัฒนาคอมมูนิตี้ที่ทุกชีวิตอยู่อาศัยร่วมกันอย่างมีความสุข กลายเป็นอาณาจักร Origin Pet Family โดยมีหัวข้อที่ได้ศึกษาและเผยแพร่แล้ว ได้แก่ 1.พฤติกรรมสัตว์เลี้ยง (Pet Behavior) 2.วัสดุ การออกแบบภายใน และพื้นที่ส่วนกลาง (Design) 3.ภูมิทัศน์ของโครงการ(Landscape) และ 4.บริการและความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์เลี้ยง (Pet Wellness and Service)

ทั้งหมดนำไปสู่การเลือกใช้วัสดุ สิ่งอำนวยความสะดวก และการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสัตว์เลี้ยงและผู้เลี้ยง เช่น การเลือกใช้วัสดุพื้นที่ทำความสะอาดได้ง่าย ป้องกันรอยขีดข่วน รองรับกับข้อต่อน้อง ๆ การออกแบบความถี่ของราวระเบียงเพื่อความปลอดภัย การเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลาง อาทิ ประตูกั้นพื้นที่ จุดล้างตัว พื้นที่เล่นแบบเนินโค้ง ลู่วิ่งพื้นยางรองรับข้อต่อ เครื่องเล่นฝึกทักษะ ตลอดจนพันธุ์ไม้ที่เหมาะกับสัตว์เลี้ยง นอกจากนี้ ออริจิ้น ได้มีการออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับน้องแมวที่เรียกว่า “CATSULE” และการออกแบบสำหรับน้องหมาเป็นพื้นที่โล่งกว้างภายนอก จัดตั้งตามส่วนกลางของคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ เพื่อให้เจ้าของได้ใช้ส่วนกลางอย่างไร้ความกังวล อีกทั้งยังช่วยให้สัตว์เลี้ยงได้มีพื้นที่ส่วนตัวระหว่างรอเจ้าของอีกด้วย

อนาคตจ่อขยายสาขา“เพ็ตโตะ แคร์”

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมมือกับหลากหลายพันธมิตร เพื่อร่วมกันสร้างระบบนิเวศที่ตอบโจทย์ทุกมิติการใช้ชีวิตของ Origin Pet Family อาทิ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษาโดยคุณหมอและผู้เชี่ยวชาญ ร่วมทำเวิร์คช็อปจัดคอร์สอบรมให้แก่พนักงานนิติบุคคล ยกระดับงานบริการให้สามารถดูแลสัตว์เลี้ยงในโครงการได้อย่างเข้าใจ โดยเปิดตัว“เพ็ตโตะ แคร์” (PETTO CARE)ในเครือ ออริจิ้น เฮลท์แคร์  ในย่านแบริ่งเป็นแห่งแรก เพื่อให้บริการอาบน้ำ ตัดขน ตัดเล็บ รวมถึงบริการรับฝากเลี้ยง โซนจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง และของเล่นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักสัตว์ ซึ่งผู้ใช้บริการที่เป็นลูกค้าโครงการในเครือของ ORI จะได้รับส่วนลด 10-15% อีกทั้งในอนาคตยังมีแผนที่จะขยายสาขา “เพ็ตโตะ แคร์”ไปยังโครงการ หรือในคอมมูนิตี้ มอลล์ ในโครงการในเครือที่มียูนิตที่มีดีมานด์ของกลุ่ม Pet Lover มากพอสมควร ซึ่งอาจจะไม่ใช่ทุกโครงการ ทั้งนี้ต้องดูความพร้อมของทีมงานและทำเล อีกทั้งในอนาคตยังมีแผนที่จะให้บริการด้าน Pet Hotel อีกด้วย

ทำเลฝั่งธนฯฮอต ตอบโจทย์คนรักสัตว์ ปิดการขายเร็วสุด

โดยที่ผ่านมาทำเลที่เห็นภาพการตอบรับอย่างชัดเจนมากที่สุดคือ ย่านฝั่งธนบุรี จากโครงการ “ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สิรินธร สเตชั่น” ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2565 ที่ขายหมดภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีโครงการ “ออริจิ้น เพลสเพชรเกษม” ซึ่งอยู่ตรงข้าม “ซีคอน บางแค” ก็สามารถปิดการขายอย่างรวดเร็วเช่นกัน ส่วนในย่าน CBD ยังไม่ค่อยมีผู้ประกอบการรายใด พัฒนาคอนโดฯเพื่อคนรักสัตว์เลี้ยง แต่พื้นที่บริเวณรอบนอกกทม.คอนโดฯเพื่อคนรักสัตว์เลี้ยงยังได้รับการตอบรับที่ดี ส่วนต่างจังหวัด บริษัทฯก็ให้ความสนใจที่จะพัฒนาคอนโดฯเพื่อคนรักสัตว์เลี้ยงเช่นกัน แต่จากการทดสอบพบว่ากลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัด ยังไม่ค่อยตอบรับคอนโดฯเพื่อคนรักสัตว์เลี้ยงแต่อย่างใด เพราะในต่างจังหวัดยังมีพื้นที่สำหรับการพัฒนาโครงการแนวราบมากกว่า ซึ่งมีพื้นที่สำหรับเลี้ยงสัตว์ได้อยู่แล้ว

นอกจากนี้ประกันภัยสัตว์เลี้ยงจาก บริษัท พริม อินชัวรันส์ โบรคเกอร์ จำกัด(PRIM) ในเครือ ORI ตลอดจนมอบสิทธิพิเศษจากผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์อาหารแมว เบลลอตต้า (Bellotta)  อาหารสุนัข มาร์โว่ (Marvo) และอาหารสัตว์เลี้ยงสูตรเป็นมิตรต่อไต เชนจเตอร์ (ChangeTer) และแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยง มองชู โดยหลังจากนี้ บริษัทยังคงมีแผนเดินหน้าพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่ม Pet Lover อย่างต่อเนื่อง

“ที่ผ่านมาออริจิ้นฯได้พัฒนาคอนโดฯเพื่อเลี้ยงสัตว์ได้ทั้งในพื้นที่กทม.-ปริมณฑลค่อนข้างมาก และถือว่าเป็นผู้ประกอบการที่พัฒนาคอนโดฯเพื่อสัตว์เลี้ยงอันดับ 1 แล้ว โดยทั้งเรื่องยอดขายคอนโดฯเพื่อสัตว์เลี้ยงและเพื่ออยู่อาศัยทั่วไป สามารถขึ้นเป็นอันดับ 1”

สำหรับรายชื่อโครงการคอนโดฯเลี้ยงสัตว์ได้ ในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ฯ มีทั้งหมด 16 โครงการ รวม 3,550 ยูนิต ประกอบด้วย

1)บริกซ์ตัน เพ็ท แอนด์ เพลย์ สุขุมวิท 107 ซี (Brixton Pet & Play Sukhumvit 107 C) 

2)บริกซ์ตัน เพ็ท แอนด์ เพลย์ สุขุมวิท 107 บี(Brixton Pet & Play Sukhumvit 107 B) 

3)บรอมป์ตัน เพ็ท เฟรนด์ลี่ สำโรง สเตชั่น  (Brompton Pet Friendly Samrong Station )

4)ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ รามอินทรา (Origin Plug&Play Ramintra) 

5)ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สิรินธร สเตชั่น (Origin Plug & Play Sirindhorn Station) 

6)บริกซ์ตัน พหล 50 สเตชั่น (Brixton Phahol 50 Station) 

7)ออริจิ้น เพลย์ ศรีอุดม สเตชั่น (Origin Play Sri Udom Station) 

8)ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ อี 22 สเตชั่น (Origin Plug & Play E22 Station)

9)ออริจิ้น เพลส พหลฯ 59 สเตชั่น (Origin Place Phahol 59 Station) 

10)ดิ ออริจิ้น บางแค (The Origin Bangkae) 

11)ออริจิ้น เพลส รามคำแหง 153 (Origin Place Ramkhamhaeng 153) 

12)ดิ ออริจิ้น พหล 57 (The Origin Phahol 57)

13)ออริจิ้น เพลส เพชรเกษม (Origin place Phetkasem)

14)ออริจิ้น เพลย์ บางขุนนนท์ ทริปเปิ้ล สเตชั่น  (Origin Play Bangkhunnon Triple Station)

15)ดิ ออริจิ้น เตรียมน้อม สเตชั่น (The Origin Triam Nom Station) 

16)ออริจิ้น เพลย์ ศรีลาซาล สเตชั่น (Origin Play Sri Lasalle Station)

นางสาวมนัสวี อุดมมงคล

ปี 66 สินค้ากลุ่ม“Pet Collection” กวาดยอดขายกว่า 10 ล้านบาท

และจากการที่คอนโดฯสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยง มีดีมานด์ต้องการอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสัตว์เลี้ยงก็ได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย เมื่อได้เป็นพันธมิตรดีลกิจกรรมร่วมกับโครงการคอนโดฯต่างๆ

โดย นางสาวมนัสวี อุดมมงคล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายการตลาดและการขายปลีก บริษัท โมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MODERN แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชั้นนำของประเทศไทย กล่าวว่า ได้เล็งเห็นถึงเทรนด์การอยู่อาศัยร่วมกันระหว่างคนกับสัตว์เลี้ยงที่เติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความรัก ความใส่ใจ และการดูแลเอาใจใส่สัตว์เลี้ยงของเจ้าของสัตว์เลี้ยงมากขึ้น จึงริเริ่มพัฒนาPet Collection” คอลเลกชันเฟอร์นิเจอร์เพื่อคนรักสัตว์เลี้ยง ภายใต้แนวคิด Modernform Pet Proof Series” ที่ต้องการมอบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรักสัตว์ โดยเฉพาะสุนัขและแมวได้อย่างครบครัน เริ่มต้นจากการ Customize Sofa และพัฒนาสินค้าเพื่อคนรักสัตว์ อาทิ โซฟา และที่นอนสำหรับสุนัข ระดับราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 4,000 บาท ซึ่งลูกค้าของโมเดอร์นฟอร์ม มีทั้งกลุ่มคนรักสัตว์ที่เป็น End user และในรูปแบบโครงการ

โดยที่ผ่านมาสินค้าเพื่อคนรักสัตว์ของโมเดอร์นฟอร์ม ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 สินค้ากลุ่มPet Collection”สามารถสร้างยอดขายได้กว่า 10 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของตลาดสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงในประเทศไทย

ซึ่งสินค้าประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ โซฟา และ ที่นอนสำหรับสัตว์เลี้ยง ส่งผลให้โมเดอร์นฟอร์ม สามารถทำยอดขายจากสินค้ากลุ่มดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 10% ของยอดขายรวมของสินค้ากลุ่มโซฟา

เตรียมเปิดตัว 5 สินค้าใหม่ ราคาเข้าถึงง่าย

สำหรับเทรนด์สินค้าเพื่อคนรักสัตว์ในปี 2567 จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโมเดอร์นฟอร์ม เตรียมพร้อมที่จะเปิดตัวคอลเลกชันใหม่ในปีนี้ ด้วยการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ผู้เชี่ยวชาญในด้านสัตว์เลี้ยง คอลเลกชันนี้ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยง โดยเน้นที่ความสะดวกสบายและคุณภาพชีวิตของสุนัขและแมว เช่น วัสดุในการพัฒนาเฟอร์นิเจอร์ มีคุณสมบัติกันน้ำ และทำความสะอาดง่าย เฟอร์นิเจอร์สำหรับสัตว์เลี้ยงที่ดีไซน์ทันสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยงที่เสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้สัตว์เลี้ยง

“ในปี 2567 โมเดอร์นฟอร์ม เตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่เพื่อคนรักสัตว์ 5 ประเภท โดยเน้นไปที่สินค้าประเภทโซฟา และเตียงนอน ที่มีคุณสมบัติกันน้ำและทำความสะอาดง่าย กันรอยขีดข่วน ที่ดีไซน์ทันสมัย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์คนรักสัตว์ ในระดับราคาที่เข้าถึงง่าย”

นอกจากนี้ที่ผ่านมาโมเดอร์นฟอร์ม ยังได้ขยายช่องทางการตลาด ด้วยการร่วมมือกับโครงการอสังหาฯ เซกเมนต์ต่างๆ ได้แก่ คอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม ด้วยการนำเฟอร์นิเจอร์สำหรับสัตว์เลี้ยงในที่พักอาศัย และในรูปแบบของการจัดทำโซนสำหรับสัตว์เลี้ยงในโครงการ และมีแผนที่จะเดินหน้าขยายความร่วมมือกับโครงการอสังหาฯอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อปลายปี 2566 ที่ผ่านมา ได้ร่วมมือกับเมเจอร์ฯ ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ามีสัตว์เลี้ยงทั้งแนวราบและแนวสูง

“โมเดอร์นฟอร์มมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อคนรักสัตว์อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของคนรักสัตว์ มีการขยายไลน์สินค้าที่ตอบโจทย์กลุ่มตลาด Pet Lovers และเตรียมต่อยอดสินค้าใน Segment นี้ โฟกัสเฟอร์นิเจอร์เพื่อสัตว์เลี้ยง แบบ Pet-centric ไอเท็มสุดพิเศษที่เข้าใจความต้องการสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ ซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาส 2/2567 นี้”

นับเป็นนิมิตหมายที่ดี สำหรับกลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยง ที่จะมีทางเลือกในการอยู่อาศัยคอนโดฯที่เอื้อประโยชน์และตอบโจทย์ ทั้งเจ้าของและสัตว์เลี้ยง อีกทั้งยังกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องก็ยังพลอยได้รับอานิสงส์ในการเพิ่มช่องทางการตลาด สามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*