“แสนสิริ”รักษาความเป็นผู้นำฯ ตั้งเป้ายอดขาย 52,000 ล้านบาท และยอดโอน43,000 ล้านบาท มีแผนพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2567 รวมทั้งสิ้น 46 โครงการ มูลค่า 61,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 26 โครงการ มูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 20 โครงการ มูลค่า 26,000 ล้านบาท  พร้อมขยายโอกาสในการลงทุน กับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ๆ เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน เพิ่มน้ำหนักการลงทุนไปยัง Strategic Location 4 หัวเมืองใหญ่ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา และหัวหิน พร้อมสานต่อโมเดล “Sansiri Community” ในแต่ละทำเลที่แสนสิริเข้าไปพัฒนาโครงการ

นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 40 ในปี 2567นี้บริษัทพร้อมประกาศแผนธุรกิจด้วยแนวทาง “RESILIENT GROWTH โดยนำศักยภาพ ความเชี่ยวชาญ และนวัตกรรมมาต่อยอดธุรกิจ ขับเคลื่อนการทำงานในองค์รวม เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการที่ดีให้กับผู้บริโภคโดยตั้งเป้าหมายกำไรสุทธิที่ดีที่สุดในรอบ 40 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท หลังจากปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ 44 โครงการ มูลค่ารวม 65,000 ล้านบาท พร้อมสร้างสถิติใหม่ ALL-Time High เติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 50% และโตขึ้นจากช่วงเกิดโควิด 10 เท่าครอบคลุมทุกโปรดักต์ ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ทุกเซ็กเมนต์ระดับราคา

นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทยังคงรักษาระดับการเติบโตท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจัดทำแคมเปญและกิจกรรมทางการตลาด ส่งผลให้ในปี 2566 บริษัททำยอดขายได้สูงถึง 49,000 ล้านบาท ส่วนยอดโอน (รวมโครงการร่วมทุน) อยู่ที่ 39,000 ล้านบาท และสามารถปิดการขายโครงการได้ถึง 28 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 51,000 ล้านบาท อาทิ โครงการ Khun by Yoo,บูก้าน  พัฒนาการ 33,XT เอกมัย และ Oka House เป็นต้น

สำหรับปี 2567 นี้ บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวม 46 โครงการ มูลค่า 61,000 ล้านบาททั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยตั้งเป้ายอดขาย 52,000 ล้านบาท และยอดโอน 43,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มธุรกิจแนวราบ วางแผนเปิดตัวรวม 26 โครงการ มูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการนาราสิริ บางนา กม. 10 มูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท  ราคา  ขาย 45 – 70 ล้านบาท บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรีแบรนด์เศรษฐสิริรวม 7 โครงการ มูลค่ารวม 14,400 ล้านบาท เช่น โครงการเศรษฐสิริ วัชรพล – เทพรักษ์ มูลค่า 2,700 ล้านบาท แบรนด์สราญสิริจำนวน 6 โครงการ มูลค่ารวม 9,100 ล้านบาท และอณาสิริอีก 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,100 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์โฮม

นอกจากนี้ยังเตรียมเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ ณริณสิริ บ้านเดี่ยวระดับพรีเมียม เปิดตัวโครงการแรก ณริณสิริ กรุงเทพกรีฑา มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท และแบรนด์มาเบิล บ้านเดี่ยวระดับราคา 5-7 ล้านบาท ใช้ชื่อโครงการว่า มาเบิล บางนา 26 มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท

ส่วนกลุ่มธุรกิจแนวสูง วางแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมจำนวน 20 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท รวมทั้งมีแผนขยายการเปิดตัวโครงการใหม่ไปยังหัวเมืองท่องเที่ยวมากขึ้น โดยมีโครงการ Branded Residence แห่งแรกในเอเชียและแห่งที่ 3 ของโลกภายใต้เดอะ สแตนดาร์ด ใช้ชื่อโครงาว่า เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์ หัวหิน มูลค่าโครงการ 4,100 ล้านบาท

รวมทั้งจะเปิดตัวคอนโดฯแบรนด์เวีย 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาทในย่านสุขุมวิท 34 และ 61  และแบรนด์แคมปัสคอนโด “ดีคอนโด”จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,800 ล้านบาท และโครงการคอนโดฯในกลุ่มแบรนด์เดอะ มูฟและคอนโดมี ล่าสุดมีการรีเฟรชแบรนด์เดอะ เบส โดยในปีนี้จะเปิดรวม 3 โครงการ มูลค่า 4,500 ล้านบาท

“นอกเหนือจากการเปิดเปิดตัวโครงการใหม่ที่มีมูลค่าสูงถึง 61,000 ล้านบาท ในปีนี้แสนสิริยังเดินหน้าในพันธกิจสีเขียว โดยตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2593 ผ่านการขับเคลื่อน 4 แก่นสำคัญคือ ‘Process-Product-Partner-Investment’ และอีกหนึ่งแผนงานที่สำคัญคือการส่งมอบทุกโครงการใหม่ของแสนสิริด้วยนวัตกรรมบ้านสีเขียว หรือ Green Living Designed Home โดยเริ่มตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้าง จนถึงการส่งมอบบ้านพลังงานสะอาด เพื่อให้ลูกบ้านได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี”

นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์  บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทยังคงเดินหน้าตาม 3 กลยุทธ์สำคัญขับเคลื่อนองค์กร ควบคู่กับความพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ และรักษาอันดับความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย ประกอบไปด้วย การรักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มสัดส่วนการเปิดตัวโครงการให้มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการแนวราบ และการใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2566 มีกำไรสุทธิ 4,760 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 40 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และมากกว่ากำไรสุทธิทั้งปีของปี 2565 สะท้อนถึงการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพของบริษัท

การบริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขายให้กระจายไปในหลากหลายทำเล โดยเมื่อรวมโครงการเปิดใหม่ในปีนี้ บริษัทจะมียูนิตพร้อมขายทั่วประเทศรวมมูลค่า 146,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้แสนสิริจะมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีข้างหน้า พร้อมขยายโอกาสในการลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ๆ เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน

รวมทั้งจะเน้นการลงทุน Strategic Location หัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เพื่อรับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน  โดยวางแผนจะเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัดทั้งหมด 13 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท โตกว่าปีก่อนหน้าถึง 170%  โดยเฉพาะ Strategic Location อย่างภูเก็ต ได้จัดทำแผนกลยุทธ์ 5 ปีเปิดตัวโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท รวมถึงวางแผนเปิดตัว Sansiri Hub หรือออฟฟิศของแสนสิริในจังหวัดภูเก็ตในปี 2567 นี้ด้วยเช่นกัน

พร้อมสานต่อโมเดล Sansiri Community อีก 4 คอมมูนิตี้ ได้แก่ ศรีนครินทร์-แพรกษา, บางนา กม. 10, ศรีวารี และวงแหวน – ลำลูกกา หลังจากได้เปิดตัวมาแล้ว 8 คอมมูนิตี้ คือ กรุงเทพกรีฑา, บางนา-เลค 26, รังสิต-บางพูน, ราชพฤกษ์-346, กรุงเทพ-ปทุมธานี, เวสต์เกต, พระราม 2-วงแหวน และประชาอุทิศ 90

และยกระดับคุณภาพของสินค้า บริการ ให้เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย สอดคล้องกับโครงการในระดับกลางและบนที่มีการเปิดตัวมากขึ้น สำหรับโครงการที่เปิดตัวมีทั้งการต่อยอดความสำเร็จแบรนด์นาราสิริและบูก้าน ในกลุ่ม Sansiri Luxury Collection ตลอดจนการรีเฟรชแบรนด์เศรษฐสิริและดีคอนโด เป็นต้น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*