พฤกษา โฮลดิ้ง”มีแผนการบริหารการลงทุนและบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้จากการที่บริษัทมีการขยายฐานธุรกิจออกไปจากเดิมที่มุ่งเน้นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันมีการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาล และอื่น ๆ ซึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนออกไป

นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในปี 2566 ที่ผ่านมา พฤกษา โฮลดิ้งได้มีการปรับโครงสร้างและโมเดลธุรกิจ ด้วยการนำบริการด้านสุขภาพจากเครือวิมุต ผนวกกับเทคโนโลยีระบบ Smart Home จากแอปพลิเคชัน MyHuas เข้ามาปรับใช้ในการออกแบบโครงการ เพื่อเสริมความแข่งแกร่งของธุรกิจหลัก  พร้อมแยกกลุ่มธุรกิจออกเป็น  4 แกนหลัก ได้แก่

ธุรกิจเฮลท์แคร์ ครอบคลุมบริการทางสุขภาพตั้งแต่โรงพยาบาลวิมุต และโรงพยาบาลเทพธารินทร์ ล่าสุดได้ลงทุนเข้าถือหุ้น 25% ในบริษัทเค.พี.เอ็น ซีเนียร์ ฮอสปิตัล กรุ๊ป เตรียมขยายการบริการเนอร์สซิ่งโฮม โดยตั้งเป้าขยาย 600 เตียงภายใน 3 ปี รวมทั้งยังมีแผนลงทุน 3,500 ล้านบาทเพื่อขยายโรงพยาบาลเฉพาะทางที่สุขุมวิท ขยายเตียงที่โรงพยาบาลวิมุตเป็น 150 เตียง ด้วยเป้าหมายการเติบโต 2,300 ล้านบาทในปี 2567

ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทซินเนอร์จี โกรท จำกัด ในเครือพฤกษา ตั้งเป้าโต 5เท่าในปี 2567 และเป้ารายได้กว่า 1,000 ล้านบาทภายใน 3 ปี โดยได้พัฒนาแพลตฟอร์มแอปพลิเคชัน MyHaus เพื่อเป็นศูนย์กลางที่จะดูแลทั้งเรื่องความปลอดภัยภายในบ้าน และอำนวยความสะดวกสบายให้ลูกบ้านและนิติบุคคล ด้วยระบบ IOT (Security & Smart Home) รวมไปถึงระบบ Community เพื่อสร้างพื้นที่ให้ลูกบ้านสื่อสารกันได้ ไปจนถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Clickzy.com รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ให้เลือกช้อปสินค้าที่เกี่ยวกับบ้าน บริการตกแต่งภายในจาก Zdecor และสินค้าเพื่อการดูแลสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์

กลุ่มหน่วยธุรกิจใหม่ ที่แยกออกมาเพื่อรองรับการเติบโต เช่น ธุรกิจพรีคาสท์ ซึ่งบริษัทได้แลกหุ้นร่วมกับบริษัทเจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) เพื่อเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของ “อินโน พรีคาสท์” เพิ่มโอกาสในการจำหน่ายแผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำ ทำยอดคำสั่งซื้อและติดตั้ง (Backlog) ทั้งจากพฤกษาและลูกค้ารายอื่น ๆ ด้วยเป้ารายได้ 4,500 ล้านบาท โดยเฉพาะปีนี้ตั้งเป้ารายได้โต 50% อยู่ที่ 3,500 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังได้มีการแยกหน่วยงานธุรกิจรับก่อสร้างออกมาเป็นบริษัทใหม่ “อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น” โดยตั้งเป้าปี 2567 จะสร้างรายได้ 5,600 ล้านบาทจากพฤกษาและลูกค้ารายอื่นนอกจากกลุ่ม โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นบริษัทรับก่อสร้างบ้านแนวราบที่ใหญ่ที่สุดในไทย

และการลงทุนเพื่อรองรับการขยายห่วงโซ่ธุรกิจ ด้วยการขยายการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทโลจิสติกส์  และ อสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นด้านการดูแลสุขภาพ   ด้วยการร่วมมือกับ 2 องค์กรชั้นนำจากสิงคโปร์และไต้หวัน  จัดตั้งกองทุน “CapitaLand SEA Logistics Fund” มูลค่าทรัพย์สินเป้าหมาย 25,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการคลังจัดเก็บและกระจายสินค้าให้บริการครอบคลุมทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการลงทุนในกองทุน CapitalLand Wellness Fund ( C-Well) มูลค่าทรัพย์สินเป้าหมาย 72,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นด้านการดูแลสุขภาพ

ส่วนแผนการขยายธุรกิจด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ล่าสุดบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ได้ทำสัญญาร่วมทุนกับบริษัทย่อยของบริษัทออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน 3 โครงการ มูลค่า 8,800 ล้านบาท คือ การเข้าร่วมทุนพัฒนาโรงแรมกับบริษัทวัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) ในนามบริษัทวัน ออริจิ้น สมุย เฉวง บีช 1 จำกัด

“การร่วมทุนกับกลุ่มออริจิ้นฯถือเป็นการเปลี่ยนคู่แข่งทางธุรกิจมาเป็นพันธมิตรร่วมกัน เพื่อต่อยอดในธุรกิจที่กลุ่มพฤกษาฯไม่มีความชำนาญ เช่น โรงแรม ซึ่งจะพัฒนาโครงการที่แตกต่างจากโรงแรมทั่วไปในรูปแบบ Welness Hotet โดยจะพัฒนาโครงการบนที่ดินเดิมของพฤกษาฯ”

นายอุเทนกล่าวว่า การรีโมเดลธุรกิจและโครงสร้างองค์กรในปีที่ผ่านมา ทำให้ในปี 2567 นี้ พฤกษา โฮลดิ้งพร้อมด้วยกลุ่มบริษัทในเครือทั้งหมด  มีความพร้อมทั้งด้านการปฏิบัติการ และความพร้อมทางการเงิน ที่จะเดินหน้าสู่การเติบโตตามกลยุทธ์ Ready To Thrive  โดยในปีนี้ตั้งเป้ารายได้ทั้งกลุ่มรวม 28,000 ล้านบาท และเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่าประมาณ 29,000 ล้านบาท”

ด้านผลการดำเนินงานในปี 2566 ที่ผ่านมา พฤกษา โฮลดิ้ง มีรายได้ 26,132 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,205 ล้านบาท ขณะเดียวกันกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ได้มีการพัฒนาแบรนด์สินค้าใหม่ “บ้านกรีนเฮ้าส์” เพื่อตอบรับกับกำลังซื้อที่เปลี่ยนแปลงไป โดยการนำเทคโนโลยีและการออกแบบการก่อสร้างแบบใหม่มาใช้ เพื่อให้ลูกค้าสามารถผ่อนค่างวดกับธนาคารได้ง่ายขึ้น

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทมุ่งเพิ่มสัดส่วนสินค้าในกลุ่มเซกเมนต์กลาง-บน ให้สูงขึ้นมากกว่า 50%โดยลดสัดส่วนสินค้ากลุ่มราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทที่มีมากถึง 70% ลดให้เหลือประมาณ 40% เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันมากขึ้น

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2566 กลถ่มพฤกษา เรียลเอสเตท ทำรายได้จากการขายและโอนอสังหาฯ 22,357 ล้านบาท และยอดขาย 18,540 ล้านบาท  เปิดโครงการใหม่รวม 13 โครงการ มูลค่า 14,200 ล้านบาท  ลดลงจากเป้าหมายเดิมที่วางแผนเปิด 22 โครงการมูลค่า 23,500 ล้านบาท โดยมีการชะลอแผนการเปิดตัวสินค้ากลุ่มทาวน์เฮ้าส์ราคาต่ำกว่า 3ล้านบาทออกไป มีการเปิดตัวแค่ 3โครงการเท่านั้น

ส่วนในปี 2567 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 27,000 ล้านบาท และเป้ายอดโอน  25,500 ล้านบาท วางแผนเปิดโครงการใหม่ 30 โครงการ รวมมูลค่าทั้งหมด 29,000 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 10 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 17 โครงการ และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ  นอกจากนี้มีที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ที่จะแปลงเป็นรายได้ รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท  โดยวางแผนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้พอร์ตโฟลิโอด้วยการเพิ่มสินค้าสำหรับกลุ่มลูกค้าในเซ็กเม้นต์ระดับกลาง – สูง  พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มของแบรนด์ The Palmในระดับราคามากกว่า 30 ล้านบาทเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ยังตั้งเป้าในการ Re-Stock Landbank ด้วยงบ 10,500 ล้านบาท เพื่อต่อยอดการขยายพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อคงสัดส่วนการพัฒนาบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาทให้ไม่เกิน 40% และมากกว่า 7 ล้านบาทให้มากกว่า 30% พร้อมมุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้แนวคิด “อยู่ดี มีสุข” โดยผสานความร่วมมือระหว่างธุรกิจในเครือพฤกษาทั้งธุรกิจด้านสุขภาพ และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพื่อสร้างการอยู่อาศัยที่ดี ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เลือกใช้วัสดุอุปกรณ์เพื่อการประหยัดพลังงาน โดยนำแพลตฟอร์ม MyHuas  ซึ่งป็นเทคโนโลยี Smart Home ควบคุมการทำงานในบ้านมาใช้

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*