เอพี ไทยแลนด์ ตั้งเป้าปี 2567 ขยายพอร์ตสินค้าในเครือพร้อมขายกระจายทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 212 โครงการ โดยเป็นโครงการใหม่จำนวน 48 โครงการ มูลค่าประมาณ 58,000 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 23,000 ล้านบาท ทาวน์โฮมและบ้านแฝด 23 โครงการ มูลค่า 19,300 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 12,500 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 4 โครงการ มูลค่า 3,200 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขาย 57,000 ล้านบาท และเป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 53,700 ล้านบาท

 นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัทเอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2566 ที่ผ่านมาถือเป็นอีกหนึ่งปีที่มีสภาพอึดอัด การทำงานบนความยากลำบาก ต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตลอดเวลาตั้งแต่ต้นปี แต่ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่กลุ่มเอพีฯประสบความสำเร็จทั้งการเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่า 76,000 ล้านบาทครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม ขณะที่ยอดขายก็ได้กลับมาสู่จุดสูงสุดอีกครั้งจำนวน 51,390 ล้านบาท ส่วนยอดรับรู้รายได้อยู่ที่ 48,757 ล้านบาท ที่สำคัญยังสามารถทำกำไรสุทธิได้มากถึง 6,054 ล้านบาท นิวไฮต์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4

ส่วนทิศทางของตลาดอสังหาฯในปี 2567 นี้ถือว่าไม่ได้แตกต่างจากปี 2566 ถ้าเปรียบกับสภาพถนนถือว่าเป็นถนนที่มีความขรุขระ เต็มไปด้วยความไม่รู้และความคาดเดาไม่ได้ เหมือนกับรถที่วิ่งอยู่ในออฟโรด ดังนั้นเครื่องยนต์ต่างๆที่จะเข้ามาช่วยผลักดันยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่ยังคาดเดาไม่ได้ว่าปีนี้ GDP จะเติบโตได้กี่เปอร์เซ็นต์ รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในปี 2566 ที่ผ่านมา ขณะที่นโยบายของภาครัฐก็ยังไม่มีความชัดเจนต้องเฝ้ารอกันต่อไป  โดยเฉพาะปัญหาด้านหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงกว่า 90% ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เป็นแรงดึงให้กำลังซื้อลดลง

ดังนั้นในมุมของผู้ประกอบการก็ต้องมีการโมดิฟายเครื่องยนต์ของตัวเองให้เปลี่ยนเป็นรถ SUV ที่ประหยัดน้ำมันและพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ สามารถปรับตัวให้เหมาะกับสถานการณ์ต่างๆได้เร็วแค่ไหน เตรียมพร้อมที่จะเป็นรถยนต์ที่สามารถวิ่งไปบนถนนที่ขรุขระได้เร็วกว่าคนอื่น ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายของเอพีฯที่จะต้องก้าวข้ามไปให้ได้ในปีนี้

ขณะที่ภาพรวมของตลาดอสังหาฯตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลัง 2566 ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มฟื้นตัวกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง หลังที่ตลาดคอนโดฯซบเซาต่อเนื่องมาหลายปี โดยฉพาะในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาด ขณะที่ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับมาฟื้นตัวเช่นกัน โดยมีการประเมินกันว่าเฉพาะปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยประมาณ 30-40 ล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าคนจีนที่คาดว่าปีนี้จะเริ่มเดินทางเข้ามาในเมืองไทยเพิ่มมากขึ้น  นอกจากนี้ยังคาดหวังว่าอัตราดอกเบี้ยในปีนี้น่าจะไม่ปรับเพิ่มขึ้นไปจากปัจจุบันและอาจจะมีแนวโน้มลดลดในช่วงครึ่งปีหลัง

“ในปีนี้ยังมีความท้าทายรออยู่อีกมาก และเชื่อว่าจะเป็นอีกปีที่ไม่ได้ง่าย ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในภาพระบบเศรษฐกิจโลกที่เกิดจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนภาพความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทย ดังนั้น การดำเนินธุรกิจในปีนี้ยังคงต้องเป็นไปแบบระมัดระวัง และสิ่งที่สำคัญสุดที่จะทำให้องค์กรเดินไปข้างหน้าอย่างไม่สะดุดท่ามกลางแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจ คือ การรักษาเสถียรภาพทางการเงินให้แข็งแกร่ง ผ่านความเข้มงวดในวินัยทางการเงิน เพื่อนำมาสู่สภาพคล่องทางการเงินที่คล่องตัวและมากเพียงพอที่จะสนับสนุนธุรกิจในระยะยาว“

โดย ณ สิ้นปี 2566 เอพีฯสามารถรักษาสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ 0.79 เท่า จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ไม่เกิน 0.80 เท่า ถือเป็นเรื่องที่เอพีให้ความสำคัญอย่างมากตลอดเวลาที่ผ่านมา และเป็นคีย์สำคัญที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จเป็นหนึ่งในทุกมิติ ทั้งการบริหารจัดการกระแสเงินสด ส่งผลต่อเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือขององค์กร การกระจายพอร์ตสินค้าที่หลากหลาย และครอบคลุมทุกเซกเมนต์ของตลาด การบริหารจัดการคน โครงสร้างองค์กร และโพรเซสการทำงานที่แม่นยำ เพื่อสนับสนุนให้การทำงานที่รวดเร็วทันทุกการเปลี่ยนแปลง การมีพันธมิตรทางธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจก้าวสู่ความเป็นหนึ่ง และมีซัปพลาย เชน แมเนจเมนต์ ที่พร้อมสนับสนุนให้การเติบโตของธุรกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องตามแผนการพัฒนาและส่งมอบโครงการ

สำหรับเสถียรภาพทางการเงินของบริษัท ณ ปัจจุบันถือว่ามีความแข็งแกร่งอย่างมาก ส่งผลให้บริษัทมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีและเพียงพอต่อการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นวงเงินสินเชื่อพร้อมเบิกใช้ จากสถาบันทางเงินที่ให้วงเงินแก่บริษัทมากถึง 12,700 ล้านบาท รวมทั้งยังมีเม็ดเงินลงทุนจากพันธมิตร คือ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ผ่านทุนจดทะเบียนบริษัทลูกที่มากถึง 12,619 ล้านบาท สำหรับการลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมในประเทศไทยร่วมไปกับเอพี และ รายได้จากการขายและโอนอสังหาริมทรัพย์ที่กระจายความเสี่ยงไปในทุกเซกเมนต์กว่า 200 โครงการ โดยตั้งเป้าหมายการรับรู้รายได้ในปีนี้มูลค่า 53,700 ล้านบาทที่จะทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

AP EMPOWER TOGETHER สานต่อความเป็นหนึ่งไปด้วยกัน
สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทเน้นสานต่อความเป็นหนึ่งภายใต้กลยุทธ์ EMPOWER TOGETHER โดยทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม บ้านแฝด และคอนโดมิเนียม ตั้งเป้าหมายที่จะส่งมอบนวัตกรรมพื้นที่เพื่อชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ เพื่อให้ทุกพื้นที่ในบ้านเอพีเติบโตไปพร้อมกับทุกคน

โดยภายในสิ้นปี 2567 นี้ บริษัทตั้งเป้ากระจายพอร์ตสินค้าทั่วประเทศจำนวน 212 โครงการ เพื่อครองการเป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในด้านยอดขาย รายได้ และผลกำไร โดยจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 48 โครงการ มูลค่า 58,000 ล้านบาท ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 23,000 ล้านบาท ทาวน์โฮมและบ้านแฝด จำนวน 23 โครงการ มูลค่า 19,300 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 12,500 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 4 โครงการ มูลค่า 3,200 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายจำนวน 164 โครงการ ซึ่งจะเป็นคีย์สำคัญในการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง

เพิ่มแชร์ตลาดบ้านเดี่ยวระดับ Super Luxury

สำหรับกลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวในปีนี้ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 15 โครงการ มูลค่า 23,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีแผนเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ในตลาด Super Luxury ระดับราคา 100 ล้านบาท ด้วยการพัฒนาสินค้าแบรนด์ THE PALAZZO ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า 1,000 ตารางเมตร ใน 2 ทำเลย่านกรุงเทพกรีฑาและปิ่นเกล้า และแบรนด์บ้านกลางกรุง บ้านเดี่ยวในเมือง ย่านสาธุประดิษฐ์ ซึ่งพร้อมจะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังนี้ รวมถึงยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาแบบบ้านในแบรนด์ THE CITY, CENTRO และ MODEN ที่ถือเป็นแบรนด์สินค้าหลักที่ประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนกลุ่มธุรกิจทาวน์โฮมและบ้านแฝด ในปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 23 โครงการ มูลค่า 19,300 ล้านบาท พร้อมรักษาความเป็นผู้นำในตลาดทาวน์โฮม 3 ชั้น และ 2 ชั้น โดยในปีนี้จะมีการพัฒนาทาวน์โฮมภายใต้แนวคิดพื้นที่ชีวิตแนวตั้ง และตั้งเป้าจะเป็นผู้นำตลาดบ้านแฝด 3 ชั้นและ 2 ชั้นในเมือง ภายใต้ 3 แบรนด์สินค้าในเครือ ได้แก่ บ้านกลางเมือง คลาสเซ่  บ้านกลางเมือง ดิ อิดิชั่น และแกรนด์ พลีโน่ พร้อมด้วยจุดขายบ้านหน้ากว้างสูงสุด 14.7 เมตร และแบบบ้านแฝด 3 ชั้น พื้นที่ 35.50 – 46.40 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 218.87– 298 ตารางเมตร และบ้านแฝด 2 ชั้น พื้นที่ 35.10 – 44.83 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 133.45 – 200.2 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 3.19 ล้านบาท

โดยจะมีการเปิดตัวบ้านแฝดจำนวน 7 โครงการ ได้แก่ บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ รัชดา-ลาดพร้าว,บ้านกลางเมือง ดิ อิดิชั่น โยธินพัฒนา,บ้านกลางเมือง ดิ อิดิชั่น บางนา,แกรนด์ พลีโน่ วัชรพล-จตุโชติ 10,แกรนด์ พลีโน่ แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์,แกรนด์ พลีโน่ รามอินทรา-วงแหวน 2 และแกรนด์ พลีโน่ สุขสวัสดิ์ 64 และส่วนที่เหลือจะเป็นทาวน์โฮม 3 ชั้น และทาวน์โฮม 2 ชั้น

สำหรับกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม ในปีที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจคอนโดฯของเอพีประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งในด้านยอดขายและการรับรู้รายได้ โดยสามารถทำยอดขายได้มากถึง 17,908 ล้านบาท หรือเติบโตถึง 57% หากเทียบกับยอดขายของปีก่อนหน้า ด้านรายได้รวมเฉพาะคอนโดมิเนียม (100% JV) มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ระดับ 13,184 ล้านบาท

โดยในปี 2567 นี้ เตรียมเปิดตัว 6 คอนโดฯใหม่ มูลค่า 12,500 ล้านบาท ภานยใต้แบรนด์ LIFE และ ASPIRE เป็นคีย์สำคัญในการพัฒนาโครงการ โดยมี LIFE เจริญนคร-สาทร และ ASPIRE ห้วยขวาง เป็นโครงการรไฮไลต์ของปีนี้ นอกจากนี้ยังเตรียมรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ 3 คอนโดฯพร้อมอยู่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 11,500 ล้านบาท ได้แก่ LIFE พหลฯ-ลาดพร้าว LIFE พระราม 4-อโศก และ ASPIRE รัชโยธิน

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*