ช่วงปี 2566 ที่ผ่านมาถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายในการดำเนินธุรกิจทุกประเภท แม้ว่าปัจจัยลบเรื่องโรคระบาดที่มีผลต่อการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศจะไม่มีแล้วก็ตาม แต่ด้วยผลกระทบจากช่วงที่เกิดโรคระบาดปี 2563 – 2565 มีผลต่อเนื่องถึงการดำเนินธุรกิจและการใช้ชีวิต ส่งผลให้การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของคนไทยไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียมเป็นเรื่องที่ต้องคิดให้ละเอียดรอบคอบ ประกอบกับความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินต่างๆ เป็นอีกหนึ่งความท้าทายของธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย

ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯหลายรายมีการปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินธุรกิจทั้งการลดจำนวนการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม และเพิ่มสัดส่วนโครงการบ้านจัดสรรแทน รวมไปถึงการเพิ่มโครงการราคาแพงออกมาขายมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการบางรายได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้ซื้อระดับบน ขณะเดียวกันยังมีการเร่งปิดการขายและโอนกรรมสิทธิ์บ้านและคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้วหรือกำลังจะแล้วเสร็จ ทำให้ผู้ประกอบการได้เงินสดเข้ามาหมุนเวียนในบริษัทมากขึ้น ซึ่งปัจจัยความท้าทายต่างๆ เหล่านี้ส่งผลให้กลุ่มผู้ประกอบการมีแนวทางการบริหารจัดการที่ดี

ดังนั้นเมื่อผลประกอบการตลอดทั้งปี 2566 ออกมา มีผู้ประกอบการบางรายที่มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2565 แม้ว่า ณ ปัจจุบันอาจจะยังมีการประกาศผลประกอบการออกมายังไม่ครบทุกบริษัทก็ตาม แต่ก็สามารถประเมินได้ว่าผู้ประกอบการรายใดมีผลประกอบการที่ดีขึ้นทั้งในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิ

โดยกลุ่มแสนสิริ ถือเป็นผู้ประกอบการที่มีกำไรในปี 2566 มากที่สุด โดยมีกำไรสุทธิ 6,060 ล้านบาทเพิ่มขึ้นประมาณ 42% เมื่อเทียบกับปี 2565 ส่วนรายได้อยู่ที่ 39,082 ล้านบาทเพิ่มขั้นประมาณ 12% ขณะที่กลุ่มเอพี (ไทยแลนด์) มีรายได้และกำไรสุทธิเป็นอันดับที่ 2 คือ มีรายได้รวม 38,399 ล้านบาท แต่ลดลงจากปี 2565 ประมาณ 1% และกำไรสุทธิอยู่ที่ 6,054 ล้านบาทเพิ่มขึ้นประมาณ 3% ซึ่งทั้งแสนสิริและเอพีฯในปีที่ผ่านมา นอกจากจะเปิดขายโครงการใหม่มากที่สุดแล้ว ยังมีการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมไปถึงการเร่งปิดการขายโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว พร้อมโอนกรรมสิทธิ์

นอกจากนี้โครงการที่อยู่อาศัยระดับหรูราคาแพงของทั้ง 2 บริษัทยังได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มคนซื้อ โดยเฉพาะแสนสิริที่หลายโครงการสามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลาไม่นาน แม้ว่าราคาขายบ้านเริ่มต้นไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาทก็ตาม

ด้านกลุ่มศุภาลัยมีกำไรและรายได้มาเป็นอันดับที่ 3 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2565 โดยมีรายได้อยู่ที่ 31,818 ล้านบาทลดลงประมาณ 10% และกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,989 ล้านบาทลดลงประมาณ 15%

ดังนั้นแม้หลายบริษัทจะมีรายได้มากขึ้นและเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก แต่ไม่ได้มากมายนักเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการบางรายที่มีทั้งรายได้และกำไรอันดับต้นๆ แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นได้ชัดเจน คือ กำไรที่ลดลง ซึ่งอาจจะเกิดจาการที่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการหรือกิจกรรมทางการขายที่มากขึ้น รวมไปถึงการลดราคาหรือยอมขาดทุนกำไร เพื่อที่จะได้เร่งปิดการขายได้เร็วขึ้น จึงอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้กำไรของผู้ประกอบการบางรายลดลง

แต่อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงมีรายได้และกำไร และไม่มีผู้ประกอบการรายใดที่ขาดทุนในช่วงที่ผ่านมา แม้ผู้ประกอบการบางราย เช่น กลุ่มควอลิตี้เฮ้าส์อาจจะมีกำไรมาก แต่รายได้น้อยมาก เพราะมีรายได้จากธุรกิจอื่นๆ เช่น อาคารสำนักงานให้เช่า โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเม้นต์ รวมทั้งมีการเปิดขายโครงการใหม่ไม่มากเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการ 5 อันดับแรก ขณะที่กลุ่มแลนด์แอนด์เฮ้าส์ช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการเปิดขายโครงการใหม่ไม่มากเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ แต่รายได้จากธุรกิจอื่นๆ ของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ค่อนข้างมาก ดังนั้นเป็นไปได้ว่าสาเหตุที่รายได้ และกำไรในปี 2566 อาจจะมากกว่าผู้ประกอบการหลายรายในตลาดหลักทรัพย์

ทั้งนี้แม้รายได้และกำไรที่ลดลงของผู้ประกอบการบางรายในปี 2566 แต่ยังคงมีช่องทางในการพลิกกลับมาเพิ่มขึ้นในปี 2567 ได้ เพราะผู้ประกอบการบางรายมีการประกาศแผนเปิดขายโครงการใหม่ออกมาแล้ว โดยผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายมีการเปิดขายโครงการใหม่จำนวนมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี2566 แม้ปัจจัยลบบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับกำลังซื้ออาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในปี 2567 แต่มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองของที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทยังคงมีต่อในปีนี้ ถือว่าเป็นข่าวดีของผู้ประกอบการบางรายที่มีโครงการระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทและพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในปี2567 อีกทั้งกำลังซื้อต่างชาติในตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มกลับมาเพิ่มมากขึ้น ทั้งคนจีน รัสเซีย และพม่าที่เข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น

เพียงแต่ปัญหาใหญ่ยังคงอยู่ที่การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ยังมีความเข้มงวดมากของสถาบันการเงิน และกระทบกับกลุ่มกำลังซื้อที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทขึ้นไปจนถึงระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อยูนิต ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายปรับแผนการเปิดขายโครงการใหม่ที่เลี่ยงกลุ่มสินค้าระดับราคา 3-5    ล้านบาท และพยายามเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อบ้านราคาแพงขึ้น เพราะไม่ค่อยมีปัญหาในการขอสินเชื่อจากธนาคาร ซึ่งผู้ประกอบการบางราย เช่น แสนสิริ เอสซี แอสเสท รวมไปถึงแลนด์แอนด์เฮ้าส์ทำได้ดีมาโดยตลอด

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*