กลุ่มเฌอร่าเผยภาพรวมตลาดวัสดุทดแทนไม้ยังไม่ฟื้นตัวตามคาดการณ์ เชื่อหลังภาครัฐมีความชัดเจนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและEECส่งผลความต้องการใช้วัสดุเพิ่มขึ้น  ล่าสุดเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ เฌอร่า ชายน์ไลน์ และเฌอร่าชีดาร์ เชค สีเมโทร เกรย์ ทั้งเตรียมขยายฐานส่งออกตลาดเอเชียเพิ่ม ตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต 10%

 

 

นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฌอร่า จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดวัสดุทดแทนไม้ในประเทศ ตั้งแต่ปี 2560ที่ผ่านมาต่อเนื่องมาในช่วง 3 เดือนแรก 2561 ว่าตลาดยังไม่เติบโตตามที่คาดการณ์ ผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นไม่เต็มที่ และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของรัฐบาลยังไม่มีความชัดเจน แต่คาดว่าช่วงครึ่งปีหลังจะเริ่มเห็นการลงทุนออกมามากขึ้น รวมทั้งการเดินหน้าโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(EEC) จะส่งผลดีต่อตลาดวัสดุจากความต้องการใช้วัสดุที่มากขึ้น โดยวัตถุดิบของวัสดุก่อสร้างบางประเภทเริ่มเห็นการขยับราคาขึ้นบ้าง แต่ราคาวัสดุก่อสร้างยังไม่ขยับขึ้น จากการแข่งขันสูงในตลาด ขณะที่ตลาดวัสดุส่งออกยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีการขยายสัดส่วนการส่งออกมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยงด้านยอดขาย คาดว่าจะมียอดขายจากการส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

 

 

ทั้งนี้ ปัจจุบันตลาดหลักของบริษัทยังเป็นบ้านแนวราบ สัดส่วน 70-80%  และได้มีการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มไฟเบอร์ซีเมนต์ เช่น พื้น วัสดุตกแต่ง ซึ่งสามารถนำมาใช้กับคอนโดมิเนียมได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มยอดขายได้ นอกจากนี้ ได้มีการเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในงาน “สถาปนิก’61” คือ 1. เฌอร่า ชายน์ไลน์ ไม้ระแนงและไม้รั้ว ที่พิเศษด้วยการเคลือบเงา เพิ่มความแวววาว สวยงาม และสีที่คงทน ให้ไม้ไฉไลยาวนานไม่เปลี่ยนแปลง ขนาดความยาว 3 เมตร/แผ่น ราคา 70-100 บาท/แผ่น  และ 2.เฌอร่าชีดาร์ เชค สีเมโทร เกรย์ หลังคาไฟเบอร์ซีเมนต์เสมือนหลังคาไม้สนซีดาร์ แต่มีอายุการใช้งานยาวนานและดูแลรักษาง่ายกว่า โดยเฉดสีใหม่อย่างสีเทาเมโทรเกรย์ สะท้อนความสุขุม เสน่ห์ และความโมเดิร์นของกลิ่นอายเมืองใหญ่  ขนาดตั้งแต่ 4-8 นิ้ว ราคา 900-1,000 บาท/ตารางเมตร  ซึ่งเทรนด์วัสดุทดแทนไม้ยังได้รับการตอบรับดีจากกระแสรักษ์โลก

 

ในส่วนของบริษัทฯในปีนี้ คาดว่ายอดขายทั้ง ผลิตภัณฑ์ไม้ หลังคา และกระเบื้อง จะเติบโตประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีอัตราการเติบโต 5-7%  แบ่งเป็นเป็นในประเทศ 75% และต่างประเทศ 25% ขณะนี้มีการส่งออกกว่า 40 ประเทศ ทั้งใน เอเชีย แอฟริกา และยุโรป และปีนี้มีแผนจะขยายการส่งออกมากขึ้นในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เมียนมา เวียดนาม อินเดีย ปากีสถาน และศรีลังกา เป็นต้น

 

สำหรับช่องทางการจำหน่ายแบ่งเป็น 3 ช่องทางหลักคือ ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง สัดส่วน 70% ,โมเดิร์นเทรด 20% และลูกค้าโครงการ 10% และในปีนี้จะคงสัดส่วนทั้ง 3 ช่องทางไว้เท่าเดิม คาดว่าสัดส่วนยอดขายจากการส่งออกในอนาคต 3 ปีข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 35%