กลุ่มรัตนากรฯ แตกไลน์ธุรกิจจับมือ IWG มอบสิทธิ์เป็นมาสเตอร์แฟรนไชส์ขยายธุรกิจ Co-Working Space ทั่วประเทศไทย ยกเว้นกทม.-ปริมณฑล นำร่อง 5 แห่งกับรร.ในเครือแบรนด์ CITADINES ตั้งเป้าเปิดศูนย์ฯอย่างน้อย 40 แห่งทั่วไทยภายใน 10 ปี อนาคตสนใจร่วมมือพันธมิตรออกโทเคนของตนเอง เมินนำธุรกิจอสังหาฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ระบุยังมีแลนด์แบงก์กว่า 3,000 ไร่ จากกว่า 30 จังหวัดทั่วประเทศ ที่ไม่สามารถพัฒนาได้ทัน พร้อมนำมาพัฒนาหลากหลายธุรกิจหากน่าสนใจ
นายจักรรัตน์ เรืองรัตนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท รัตนากร แอสเซท จำกัด บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปีมีมูลค่าสินทรัพย์กว่า 33,000 ล้านบาท ดำเนินงานครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลาย ทั้งที่อยู่อาศัย พื้นที่ค้าปลีก โรงงาน และโรงแรม เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดค-เวิร์คกิ้ง สเปซ (Co-Working Space) เป็นตลาดที่ใหญ่มาก และเป็นธุรกิจที่บริษัทฯให้ความสนใจและศึกษามาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งมองว่าเป็นธุรกิจที่มีอนาคตมาก สามารถทำงานอกสถานที่ได้หลากหลาย ซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำงานของคนไทยได้ในระยะยาว ล่าสุดบริษัทฯจึงได้ร่วมมือกับ IWG (ไอดับบลิวจี) ผู้นำด้านการให้บริการพื้นที่สำนักงานให้เช่าแบบยืดหยุ่น (Flexible Workspace) ชั้นนำของโลกเป็นที่รู้จักกันในแบรนด์ Regus, Spaces, HQ และ Signature มอบสิทธิ์หลักในการบริหารแฟรนไชส์ระดับภูมิภาคหรือมาสเตอร์แฟรนไชส์ให้กับบริษัทฯ เป็นผู้ร่วมพัฒนาและขยายธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ข้อตกลงแฟรนไชส์ที่ รัตนากร แอสเซทฯ สามารถพัฒนาพื้นที่สำนักงานให้เช่าแบบยืดหยุ่น (Flexible Workspace) ได้ทุกจังหวัดทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย ยกเว้นกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งการร่วมมือครั้งนี้จะเป็นการเติมเต็มธุรกิจซึ่งกันและกัน

โดยนำร่องในปี 2565 เปิดศูนย์ใหม่ จำนวน 5 แห่ง ใน 2 จังหวัดก่อน ซึ่งนำไปใช้ในพื้นที่อพาร์ตโฮเทล ในเครือของบริษัทภายใต้แบรนด์ CITADINES ในเครือ Ascott ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว  ได้แก่ ในพัทยาเหนือและพัทยากลาง จำนวน 2 แห่ง ,ในอ.เมือง ชลบุรี, ศรีราชา และระยอง พื้นที่ละ 1 แห่ง โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาว่าจะนำแบรนด์ไหนของ IWG เข้าไปไว้ในโครงการต่างๆ โดย Regus จะใช้พื้นที่ประมาณ 800-1,500 ตารางเมตร, Spaces ใช้พื้นที่ประมาณ 2,000-3,000 ตารางเมตร, HQ ใช้พื้นที่ประมาณ 500-1,000 ตารางเมตร และ Signature ใช้พื้นที่ประมาณ 800-1,500 ตารางเมตร โดยตั้งเป้าเปิดศูนย์ฯอย่างน้อย 40 แห่งทั่วไทยภายใน 10 ปี ซึ่งขณะนี้มีผู้ประกอบการในหลากหลายธุรกิจในทุกภาคให้ความสนใจที่ซื้อแฟรนไชส์ในธุรกิจดังกล่าว ซึ่งมีทั้งโครงการที่พัฒนาแล้ว และโครงการที่ยังไม่ได้พัฒนา แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา-19  หลายธุรกิจเล็งเห็นและปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบรับความต้องการในการทำงานแบบไฮบริด หรือ Hybrid working ที่ธุรกิจจำนวนมากทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่กำลังนำมาใช้อยู่นั้น ทำให้เกิดการตระหนักว่า ไม่เพียงแต่จะสามารถดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถไว้ได้ แต่การปรับเปลี่ยนมาสู่โมเดลการทำงานในรูปแบบนี้ยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานอีกด้วย บรรดาธุรกิจต่าง ๆ กำลังกำหนดพื้นที่ครอบคลุมการทำงานใหม่ โดยนำงานเข้าไปใกล้ที่พักของบุคลากรมากขึ้นเพื่อให้พวกเขาสามารถทำงานได้อย่างยืดหยุ่น สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่ตอบสนองความต้องการและความจำเป็นของบุคลากร” นายจักรรัตน์ กล่าว

ปัจจุบันการทำงานแบบยืดหยุ่นที่ไม่ยึดติดกับสถานที่ ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างล้นหลามในหลากหลายอาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียม (Generation-Y)ซึ่งคุ้นชินกับดิจิทัลเทคโนโลยีและชื่นชอบในความคล่องตัวและยืดหยุ่นในการทำงาน การทำงานแบบไฮบริดพนักงานไม่เพียงแต่ได้ทำงานในสถานที่ที่หลากหลาย ยังใช้เวลาในการเดินทางไปทำงานลดลง สามารถทำงาน ณ สถานที่แห่งไหนก็ได้ สำนักงาน บ้าน หรือ พื้นที่ทำงานในรูปแบบ Flexible Workspace เป็นแนวทางการทำงานที่มีความยืดหยุ่นสูง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น

“ความต้องการในการทำงานแบบไฮบริดของหลายธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์นี้ ประกอบกับการคิดทบทวนใหม่ในกลยุทธ์การดำเนินงานด้านอสังหาริมทรัพย์ จึงเกิดเป็นความร่วมมือทางธุรกิจร่วมกับรัตนากร แอสเซท ที่จะเอื้อประโยชน์ให้เกิดการขยายธุรกิจได้รวดเร็วขึ้น ตอบสนองความต้องการของผู้คนในการทำงานแบบไฮบริดทั่วประเทศไทย และรองรับการขยายตัวของสังคมเมือง ซึ่งเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง การกระจายความเจริญจากเมืองหลวงสู่หัวเมืองใหญ่ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในหลากมิติ ซึ่งในอนาคตบริษัทฯยังสนใจที่จะมอง Co-Working Space แบรนด์อื่นเข้ามาเสริมความแกร่งของธุรกิจอย่างต่อเนื่องในอนาคตด้วย” นายจักรรัตน์ กล่าว

นายจักรรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจใน 4 กลุ่มใหญ่ มีบริษัทในเครือรวมกว่า 40 บริษัท ใน 37 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่

1.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจเริ่มแรกของกลุ่มบริษัท ตั้งแต่รุ่นบิดา คือ นายนิติ เรืองรัตนากร ภายใต้ชื่อหมู่บ้านรัตนากร และต่อมาได้มีการสร้างแบรนด์อื่นๆอีกมากมาย โดยธุรกิจดังกล่าวถือเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักในสัดส่วน 80%

2.ธุรกิจไฟแนนซ์

3.ธุรกิจอินเวสเมนต์

4.ธุรกิจใหม่ๆ เช่น ธุรกิจด้านเทคโนโลยี และสตาร์ทอัพ เป็นต้น

โดย 3 ธุรกิจนี้สร้างรายได้รวมกันในสัดส่วนประมาณ 20% และทุกธุรกิจสามารถสร้างรายได้รวมประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อปี

นอกจากนี้บริษัทฯยังสนใจที่จะออกโทเคน(Token)ของตนเองเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัยในเครือของบริษัท ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรที่ดำเนินธุรกิจด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากับพันธมิตรหลายรายแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่ยืนยันที่จะไม่นำบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอสังหาฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯแต่อย่างใด  เพราะเป็นธุรกิจที่ครอบครัวเริ่มก่อตั้งขึ้นมาเอง จึงไม่ต้องการมีผู้ถือหุ้นรายอื่นเข้ามาร่วมแต่อย่างใด

ปัจจุบันทางครอบครัวยังมีที่ดินสะสมทั่วประเทศมากกว่า 3,000 ไร่ ในกว่า 30 จังหวัด ซึ่งไม่สามารถลงทุนได้ทัน แต่ก็มีความสนใจจะนำที่ดินมาร่วมลงทุนกับพันธมิตรในหลากหลายรูปแบบธุรกิจ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการศึกษาในด้านการลงทุนด้วย ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

 

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*