นับจากที่ “จรัญ เกษร” เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)หรือ THANA เมื่อเดือนมกราคม 2565 ที่ผ่านมา นอกจากเป็นมืออาชีพในการพัฒนาโครงการแนวราบและแนวสูงแล้ว “จรัญ เกษร”ยังมีประสบการณ์ในเรื่องการพัฒนาชุมชนน่าอยู่ จากบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)หรือ LPN ซึ่งถือเป็นบริษัทผู้นำตลาดในเรื่องดังกล่าว ที่สอดคล้องกับนโยบายการดำเนินธุรกิจของกลุ่มธนาสิริในปัจจุบันที่เริ่มรุกธุรกิจการบริหารชุมชน ด้วยการพัฒนาในรูปแบบของ Total Green Real Estate Development-Service
นายจรัญ เกษร
นายจรัญ เกษร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)หรือ THANA เปิดเผยว่า จากที่ประกาศแผนการดำเนินงานในปีนี้จะเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,370 ล้านบาท แต่สามารถเปิดตัวได้เพียง 2 โครงการ คือ

1.โครงการอนาบูกิ ธนาฮาบิแทต ราชพฤกษ์ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับกลุ่มอนาบูกิ โคซัน ตั้งอยู่บนพื้นที่ 30 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด จำนวน 167 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ย 6.4 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,070 ล้านบาท โดยได้เปิดขายเมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 15%

2.โครงการธนาวิลเลจ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 19 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านแฝด จำนวน 115 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ยที่ 4.3 ล้านบาท/ยูนิต มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท กำหนดเปิดขายประมาณเดือนพฤศจิกายน 2565

ส่วนโครงการ “ธนาเรสซิเดนท์ บรมราชชนนี – ปิ่นเกล้า” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 21 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยวสุดหรู จำนวน 47 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ย 17 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท โดยเดิมมีแผนจะเปิดขายในไตรมาส 4/2565 แต่เนื่องจากได้มีการซื้อที่ดินแปลงติดกันเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เพื่อแก้ไขปัญหาชุมชน จึงได้มีการปรับรูปแบบโครงการเล็กน้อย ดังนั้นจึงได้เลื่อนการเปิดตัวโครงการไปในปี 2566

ส่งผลให้ในปี 2566 บริษัทฯมีการเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่จำนวน 4 โครงการ แต่ละโครงการจะมีมูลค่าเฉลี่ยประมาณ 1,000 ล้านบาทบวกลบ โดยเป็นโครงการร่วมทุนกับกลุ่มอนาบูกิ โคซัน จำนวน 2 โครงการ ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

นายจรัญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการอสังหาฯเริ่มมีแนวคิดระยะยาว หลังที่โอนกรรมสิทธิ์บ้านให้ลูกค้าในแต่ละโครงการ ด้วยการสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่น่าอยู่ในโครงการให้ยืนยาว ดังนั้น สิ่งที่จะตามมา คือ งานบริการต่างๆ หลังจากที่เจ้าของบ้านเข้าอยู่อาศัยในโครงการของบริษัทแล้ว โดยงานบริการต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวเสริมและเชื่อมต่อกับต้นทาง คือ บริษัทในฐานะเป็นผู้พัฒนาโครงการ เพื่อดูแลเจ้าของบ้านทุกหลัง ในทุกโครงการ โดยมีส่วนร่วมในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งหมดนี้เป็น Concept ที่ตั้งเป้าหมายและยังคงดำเนินการเช่นนั้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบริษัทยังคงมีการบริหารจัดการต้นทุนอย่างเข้มงวดในทุกมิติของกระบวนการทำงาน เนื่องจากต้นทุนหลักของการพัฒนาโครงการที่สะท้อนไปถึงราคาที่นำเสนอต่อลูกค้าทุกท่านนั้น เกิดจากต้นทุนงานก่อสร้างถึง 40% ซึ่งบริษัทมีการบริหารจัดการงานก่อสร้างที่คงไว้ซึ่งคุณภาพที่ดี

ดังนั้นจึงรุกการสร้าง Brand Values ด้วยการตั้งบริษัท ธนาสิริ พร๊อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด 

ขึ้นมา เพื่อรุกธุรกิจบริหารชุมชนอย่างเต็มตัวเพื่อตอบโจทย์ Return on Sustainability โดยมีแนวคิดและแนวทางที่ตอบโจทย์ Passion / Mission ขององค์กร ภายใต้ Thanasiri Well-Being Model คือ

1.มุ่งมั่นที่จะร่วมสร้างคุณภาพชีวิตของท่านเจ้าของบ้านที่ดี

2.ใส่ใจในสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่เริ่มพัฒนาโครงการไปจนถึงท่านเจ้าของบ้านเข้าอยู่อาศัยในโครงการ และ

3.สังคมแห่งการแบ่งปัน ภายใต้สังคมของโครงการและสังคมรอบข้างในพื้นที่

โดยทั้ง 3 บริบทข้างต้นนั้น ถูกพัฒนามาเป็น Model การพัฒนาในรูปแบบ Total Green Real Estate Development – Service ที่สะท้อนแนวคิดตั้งแต่เริ่มต้นคิดจะพัฒนา > การจัดหาที่ดิน > การกำหนดรูปแบบ > นำเสนอต่อลูกค้า > การก่อสร้าง > การส่งมอบ > และการต้อนรับท่านเจ้าของบ้านเข้าอยู่อาศัยในทุกๆ โครงการของบริษัท ภายใต้ความร่วมมือของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม มีการวัดผลความพึงพอใจของลูกค้าตลอดเวลา และส่งมอบให้กับ Community Management Team ที่ดูแลตั้งแต่หน้าโครงการ จนกระทั่ง ท่านเจ้าของบ้านได้ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่โครงการ โดยแบ่งเป็น 7 กระบวนการ คือ

1.Green Development Concept: แนวคิดการพัฒนาโครงการให้สอดคล้องกับการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และสังคมแห่งการแบ่งปัน

2.Green Land Acquirement: การจัดหาที่ดินที่เหมาะสม ผ่านกระบวนการที่โปร่งใส คำนึงถึงความเป็นอยู่ของสังคมดั่งเดิมที่บริษัทต้องเข้าไปดูแล

3.Green Design: การออกแบบในรูปแบบตามมาตรฐานของ Green, LEED และ Universal Design เพื่อตอบโจทย์คุณภาพชีวิตของทุก Generation ที่จะเข้ามาอยู่อาศัยในทุกโครงการของบริษัท

4.Green Marketing & Sale: การตลาดและขาย โดยสื่อสารบอกกล่าวผ่านการนำเสนอข้อมูลที่เป็นจริง เงื่อนไขที่ตอบโจทย์ มีความเป็นธรรมต่อลูกค้าและคู่ค้า

5.Green Construction: ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ส่งผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากที่สุด บริษัทจึงได้กำหนดมาตรฐาน Green Construction ที่ต้องควบคุมคุณภาพของสินค้าให้ได้มาตรฐาน มีการบริหารจัดการต้นทุนให้มีความเหมาะสม มีความรวดเร็วในการส่งมอบบ้านให้ตรงตามกำหนด มีการดูแลความปลอดภัยของทีมงานทุกคนในระหว่างการก่อสร้างและในระหว่างที่ท่านเจ้าของบ้านเข้าอยู่อาศัย ดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบข้างในระหว่างก่อสร้าง โดยวิธีการบริหารจัดการที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีที่สุด

6.Green Hand-Over : การส่งมอบให้แก่ลูกค้าตามพันธะสัญญาที่ได้ให้ไว้ และ

7.Green Community Management: โดยทีมงาน Community Management เข้ามาดูแล ประสานงาน เพื่อให้คุณภาพชีวิตของท่านเจ้าของบ้านตอบโจทย์ Passion ที่บริษัทได้นำเสนอไว้ตั้งแต่ต้น ภายใต้แนวคิดและแนวทางของ Green Clean Lean

โดยในช่วงระยะเวลา 35 ปีที่ผ่านมา ธนาสิริฯมีการพัฒนาและส่งมอบที่อยู่อาศัยไปแล้ว 28 โครงการ และขณะนี้มี 2 โครงการที่ตอบให้ธนาสิริฯเข้าไปบริหารชุมชน  และในปี 2566 ตั้งเป้าที่จะเข้าบริหารอีก 6 โครงการ ที่อยู่ในระหว่างการเปิดการขายในปัจจุบันนี้ด้วย หลังจากนั้นก็จะกลับไปบริหารชุมชนอีก 20 กว่าโครงการที่ส่งมอบไปก่อนหน้านี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ต้องได้รับความยินยอมจากนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรด้วย

“เป้าหมายของเราคืออยากเชื่อมต่อและต้องการให้เกิด Passion ได้จริง ซึ่งการสร้าง Brand Values จะเห็นผลได้จริงคงต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 ปี” นายจรัญ กล่าว

นายจรัญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปลายปี 2566 บริษัทฯยังมีแผนที่จะขยายฐานเข้าไปบริหารชุมชมให้กับโครงการทั้งแนวราบและแนวสูงของบริษัทพันธมิตรที่เป็นสมาชิกในสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยด้วย และเพื่อเป็นการรองรับการขยายฐานออกไปบริหารชุมชนให้กับบริษัทพันธมิตร เราก็มีแผนที่จะขยายไลน์ธุรกิจด้วยการมองหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดฯโลว์ไรส์ ด้วย เพื่อสามารถบริหารชุมชมได้ทั้งแนวราบและแนวสูง ซึ่งสนใจพื้นที่ที่มีคนทำงานระดับกลาง-ล่าง ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงในพื้นที่กทม.-ปริมณฑล

นอกจากนี้บริษัทฯยังให้ความสนใจร่วมมือกับพันมิตรเพื่อรุกธุรกิจ Wellness ด้วย โดยอาจจัดตั้งบริษัทในเครือขึ้นมา ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากับพันธมิตร จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

อย่างไรก็ตามในปี 2565 นี้ บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้รวมประมาณ 1,000 ล้านบาท ยอดขาย(พรีเซล)ประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งในแผนกรอบ 3 ปี ในเชิงตัวเลขจะมีรายได้ 5,000 ล้านบาท และกรอบ 5 ปี มีรายได้ 10,000 ล้านบาท มีการส่งมอบบ้านให้ลูกค้า 2,000 หลัง ค่าเฉลี่ย 5 ล้านบาท

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*