พรีบิลท์ฯมั่นใจตลาดบ้านแนวราบยังโตต่อเนื่อง แย้มแผน 5 ปีจ่อขยายที่อยู่อาศัยทุกเซกเมนต์ ล่าสุดสนใจผุดบ้านหรู ราคา 100 ล้านบาทขึ้นไป ทำเลสุขุมวิทตอนต้น คาดมีความชัดเจนภายใน 2 ปี  ส่วนที่ดินอีก 2 แปลง ทำเลสุขุมวิท 24 เล็งพัฒนาคอนโดฯสูง 40 ชั้น เปิดกว้างพันธมิตรไทยเทศร่วมทุน และซอยสุขุมวิท 26 เตรียมผุดคอนโดฯ 8 ชั้น พัฒนาเอง 100% ครึ่งปีหลังรุกเปิดขาย 2 โครงการใหม่  “พิมนารา ศาลายา”และ “พรรณนา ทวีวัฒนา รวมมูลค่า 1,500 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายแตะ 1,300 ล้านบาท ด้านธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง อยู่ระหว่างดีล 4 โครงการ รวมมูลค่า 4,000 ล้านบาท
นายวิโรจน์ เจริญตรา
นายวิโรจน์ เจริญตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีบิลท์ จํากัด (มหาชน) หรือPREB เปิดเผยถึงภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 ว่า มีแนวโน้มฟื้นตัวในทิศทางที่ดียิ่งขึ้น เนื่องจากที่อยู่อาศัยถือเป็นปัจจัยสี่ที่ผู้บริโภคมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา โควิด-19 จะเห็นดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่มีความต้องการสูงมาก ในขณะที่โครงการประเภทคอนโดมิเนียมเริ่มมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวได้เร็วเช่นกัน ซึ่งจะเห็นได้จากผู้ประกอบการกลับมาลงทุนในโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้น

“โครงการบ้านแนวราบ ยังคงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค แต่การก่อสร้างของผู้ประกอบการยังไม่ทันต่อความต้องการของผู้บริโภค มีการเร่งซื้อ เนื่องจากลูกค้าเชื่อมั่นว่ามีศักยภาพในการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินได้ ถึงแม้ว่าอัตราการปฏิเสธสินเชื่อมีบ้างแต่อาจไม่มาก เพราะมีการตรวจสอบลูกค้าตลอด ขณะที่ลูกค้าที่ซื้อเงินสดมีสัดส่วนมากถึง 30%  ประกอบกับพรีบิลท์ฯเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง สามารถช่วยลดต้นทุนก่อสร้างโครงการที่พัฒนาได้ถึง 10% ซึ่งบริษัทจะนำส่วนต่างตรงนี้มาสร้างมูลค่าให้กับสินค้าให้ดียิ่งขึ้น”นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงระยะเวลา 5 ปีหลังจากนี้ บริษัทฯตั้งเป้าพัฒนาโครงการเพื่อขายในนามบริษัท พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ให้ครบทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยว ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี เพราะความต้องการของผู้บริโภคยังมีต่อเนื่อง จากปัจจุบันที่บริษัทฯได้มีการพัฒนาโครงการแนวราบอยู่ 2 กลุ่มบ้านเดี่ยวระดับราคา ได้แก่ 5-10 ล้านบาท และราคา 15-20 ล้านบาท ส่วนทาวน์เฮาส์ ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งที่ดินในการพัฒนาจะอยู่ที่ประมาณ 20 ไร่ สามารถแบ่งการพัฒนาออกได้เป็น 2-3 เฟส นอกจากนี้ยังสนใจที่จะพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ทำเลสุขุมวิทต้นๆ ไม่เกินซอยทองหล่อ(สุขุมวิท 55) ระดับราคาตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป  ขนาดที่ดินอยู่ที่ประมาณ 70 ตารางวา/ยูนิต ขณะนี้อยู่ในระหว่างการมองหาที่ดิน ซึ่งที่ดินที่ได้มาจะต้องอยู่ในระดับราคาประมาณ 400,000-500,000 บาท/ตารางวา  โดยที่ดินที่เหมาะสมในการพัฒนา จะอยู่ที่ประมาณ 3 ไร่ พัฒนาได้ประมาณ 10 กว่ายูนิต คาดว่าภายในระยะเวลา 2 ปีนี้ จะสามารถได้ที่ดินในการพัฒนาอย่างแน่นอน

นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนที่จะนำที่ดินสะสม ซึ่งซื้อมาช่วงก่อนวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 จำนวน 2 แปลง คือ ที่ดินบริเวณปากซอยสุขุมวิท 24 พื้นที่ 1.5 ไร่ ปัจจุบันปล่อยเช่าให้กับร้านอาหารแห่งหนึ่ง และมีแผนที่จะพัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯ สูง 40 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 2,700-2,800 ล้านบาท โดยเปิดโอกาสให้พันธมิตรเข้ามาร่วมทุน ขณะนี้มีทั้งนักลงทุนไทย และกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาฯรายใหญ่ในญี่ปุ่น ซึ่งยังไม่เคยร่วมทุนกับผู้ประกอบการรายใดในประเทศไทย สนใจที่จะร่วมทุนในที่ดินแปลงดังกล่าว แต่บริษัทฯยังไม่ตัดสินใจที่จะเลือกพันธมิตรรายใด

ส่วนอีกแปลง อยู่ในซอยสุขุมวิท 26 (ซอยท่านผู้หญิงพวงรัตน์ประไพ) ปัจจุบันเป็นที่พักของแคมป์คนงานพรีบิลท์ฯ พื้นที่กว่า 300 ตารางวา มีแผนจะพัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 700 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการพัฒนาเอง 100%

โดยที่ดินทั้ง 2 แปลง คาดว่าจะสามารถนำมาพัฒนาได้ในปี 2567 ทั้งนี้ต้องรอดูสภาวะตลาด และซัพพลายในตลาดให้ระบายออกให้หมดเสียก่อน โดยราคาขายจะไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท/ตารางเมตร

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาพรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ฯได้พัฒนาโครงการบ้านหรู มาแล้ว 6 โครงการ รวมมูลค่า 4,900 ล้านบาท ปัจจุบันมีโครงการที่ปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คือ โครงการบ้านเดี่ยว “พรรณนา พุทธมณฑล สาย 3” ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่ปี 2563 เป็นโครงการแรกที่พัฒนา และลงทุนเอง 100% ส่วนอีก 5 โครงการ มีจำนวนรวม 594 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าโครงการ 3,550 ล้านบาท  แบ่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 3 โครงการ จำนวน 466 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 2,050 ล้านบาท และโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวอีก 2 โครงการใหม่ จำนวน 128 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท

ในส่วนของโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 3 โครงการ มูลค่ารอการขายประมาณ 2,000 ล้านบาท  ประกอบด้วย พิมนารา ศรีนครินทร์-บางนา” มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนมกราคม 2565 และได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า กับสไตล์ และคอนเซ็ปต์ โครงการที่เป็น สไตล์ญี่ปุ่น นำมาสู่การต่อยอดอีก 2 โครงการเมื่อช่วงปลายปี 2565 ประกอบด้วยโครงการ “พิมนารา ธรรมศาสตร์ รังสิต” บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 117 ยูนิต มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท และโครงการ “พรีวิลเลจ ธรรมศาสตร์ รังสิต” ทาวน์โฮม 2 ชั้น ขนาด 250 ยูนิต มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท ที่นำเอาสถาปัตยกรรมในยุค 70 มาเป็น concept ในการออกแบบโครงการ

นายวิโรจน์ กล่าวต่อไปว่า จากความสำเร็จของโครงการบ้านเดี่ยว “พรรณนา พุทธมณฑล สาย 3” และ “พิมนารา ศรีนครินทร์-บางนา” นำมาสู่การเปิดตัวอีก 2 โครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 เพื่อต่อยอดความสำเร็จของทั้ง 2 แบรนด์ รวมมูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ประกอบด้วย

1.โครงการ “พิมนารา ศาลายา” ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว จำนวน 77 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 5.5 -7 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท โดยเตรียมเปิดตัวช่วงไตรมาสที่ 3/2566 นี้

2.โครงการ “พรรณนา ทวีวัฒนา  พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยวข นาด 100 ตารางวาขึ้นไป มีความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิต เพียง 51 ยูนิต บ้านทุกหลังอยู่ติดถนนเมนโครงการ ราคา 15 -19 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 950 ล้านบาท โดยเตรียมเปิดตัวช่วงไตรมาสที่ 4/2566

ด้านงบซื้อที่ดินของบริษัทในปี 2566 วางไว้ที่ 1,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการซื้อที่ดินในการพัฒนาโครงการในปีต่อๆไป ซึ่งยังเน้นที่การพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก โดยมองการซื้อที่ดินที่สนใจในทำเลกรุงเทพกรีฑา ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพ มีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยในทำเลกรุงเทพกรีฑาเพิ่มขึ้น และมีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆออกมา ส่วนคอนโดมิเนียมมองว่าตลาดยังไม่กลับมาอย่างชัดเจน แต่บริษัทก็ยังเปิดโอกาสในการพัฒนาคอนโดมิเนียมได้ หากตลาดคอนโดมิเนียมกลับมาชัดเจน ซึ่งถือว่าคอนโดมิเนียมเป็นอีกกลุ่มสินค้าหนึ่งที่ช่วยทำให้บริษัท พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เติบโตมากขึ้นได้

“ปีนี้เป็นปีที่ พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ ก้าวสู่ปีที่ 4 ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา เราประสบความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการซึ่งเป็นผลจากการมีทำเลที่ตั้งโครงการที่สะดวก คอนเซ็ปต์รูปแบบบ้านที่มีเอกลักษณ์ คุณภาพและราคาที่ตอบโจทย์ลูกค้า ตลอดจนความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อบริษัท ส่วนแผนธุรกิจจากนี้ บริษัทฯ จะยังเดินหน้าหาที่ดินเพื่อทำการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยในอนาคตมีแผนจะขยายไปในทุกเซกเมนต์ทั้ง ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และโฮมออฟฟิศ”นายวิโรจน์ กล่าว

โดยในปี 2566 ตั้งเป้ายอดขายของบริษัทฯอยู่ที่ 1,300 ล้านบาท และเป้ารายได้ไว้ที่ 1,100 ล้านบาท หรือเติบโต 20% จากปี 2565 ที่มีรายได้ที่ 800 ล้านบาท โดยมี Backlog ที่รอรับรู้อีก 300 ล้านบาท ซึ่งจะเข้ามาในปี 2566 นี้ทั้งหมดอย่างไรก็ตามบริษัทมองว่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า สัดส่วนกำไรของบริษัท พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์จำกัด จะเพิ่มขึ้นมาในระดับที่ใกล้เคียงกับกับกำไรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ 50:50  จากปัจจุบันที่สัดส่วนกำไรยังมาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นธุรกิจที่มีงานรับรู้เข้ามามาก และมีสัดส่วนรายได้ที่ 80% ขณะที่บริษัท พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด มีสัดส่วนรายได้ที่ 20% ทำให้เมื่อมีการพัฒนาโครงการใหม่ๆเพิ่มมากขึ้นในอนาคต จะทำให้บริษัท พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นตามมา และเป็นธุรกิจที่ให้ MARGIN สูงกว่าธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง


นายวิโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมถึงแผนการดำเนินธุรกิจของ PREB ว่าในปี 2566 นี้บริษัทฯได้มีการติดตามงานที่จะเข้าประมูลกว่า 10,000 ล้านบาท และคาดหวังได้รับงานเข้ามาราว 30% ซึ่งในเร็วๆนี้บริษัทอยู่ระหว่างรอการประกาศผลงานในช่วงต้นปี จำนวน 4 งาน มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ยูส (คอนโดฯ-อาคารสำนักงาน) มูลค่าโครงการละประมาณ 1,000 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ในขณะนี้ และคาดหวังจะได้รับงานเข้ามาเติม Backlog ไม่ต่ำกว่า 30% ซึ่งในแต่ละปีบริษัทจะต้องรักษาระดับ Backlog เพื่อรองรับรายได้ในอนาคตที่ 6,000-8,000 ล้านบาท/ปี

ปัจจุบันมีงานก่อสร้างในมือทั้งหมด 10 โครงการ ซึ่งเป็นงานของภาคเอกชนทั้งหมด เป็นโครงการคอนโดฯ-อาคารสำนักงาน ในพื้นที่กทม. 9 โครงการ และโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ที่หัวหิน ซึ่งเป็นของกลุ่มนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อีก 1 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท

“มองว่าในปี 2566 นี้ ยังคงมีปัจจัยที่มองว่าเป็นความเสี่ยงต่อต้นทุนการก่อสร้างในเรื่องค่าวัสดุก่อสร้างที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยปัจจุบันต้นทุนก่อสร้างหลัก เช่น เหล็ก ราคาเหล็กเริ่มทรงตัวและนิ่งแล้ว แต่ยังมีราคาคอนกรีตที่ยังคงปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวัสดุก่อสร้างหลักเช่นเดียวกัน ทำให้อาจจะมีแรงกดดัน MARGIN บางส่วนบ้าง ขณะที่เรื่องแรงงานขาดแคลนของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบดังกล่าว แต่มีความกังวลเรื่องของการปรับขึ้นค่าแรง ที่อาจจะมีผลกระทบต่อต้นทุนก่อสร้าง แม้ว่าปัจจุบันจะได้มีหารปรับขึ้นมาแล้วประมาณ 10% ก็ตาม แต่ยังมีความกังวลว่า หลังการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร จะมีการพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงอีกหรือไม่ หากมีการปรับขึ้น ก็มองว่ารัฐบาลชุดใหม่ควรแจ้งให้กับผู้ประกอบการได้รับทราบล่วงหน้า เพื่อเตรียมความพร้อม เพราะค่าแรงถือเป็นหนึ่งในต้นทุนที่สำคัญของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ทำให้เมื่อมีการปรับขึ้นค่าแรงจะกระทบต่อต้นทุนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะงานที่เซ็นสัญญาไปแล้ว” นายวิโรจน์ กล่าว

อย่างไรก็ตามในปี 2566 นี้บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยมาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างกว่า 3,000 ล้านบาท และธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 1,100 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นจากปี 2565 ประมาณ 20% ที่คาดว่ามีรายได้อยู่ที่ 3,500 ล้านบาท โดยธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่างานในมือ เข้ามากว่า 3,000 ล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่กว่า 6,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ต่อเนื่องไปอีกในปีต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่งานที่บริษัทฯรับเข้ามาจะใช้ระยะเวลาในการรับรู้รายได้ประมาณ 2 ปี

            

 

             

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*