พราว เรียล เอสเตท ผนึก โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ เปิดดีล 2 โครงการ “นิว ดิสทริค อาร์ 9” และ “นิว ครอส คูคต สเตชัน” มูลค่าโครงการรวมกว่า 8,623 ล้านบาท คาดรับรู้รายได้โอนในปี  67-68 หนุนผลงาน PROUD เติบโตก้าวกระโดด  Backlog แตะ 10,000 ล้านบาททันที ทั้ง NOBLE เตรียมเข้ามาถือหุ้นใน PROUD ไม่เกิน 5% หวังสร้างความมั่นใจร่วมพัฒนาโครงการ จ่อรับรู้กำไรพิเศษ Q3/66 พร้อมกาง Roadmap เดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่สร้างการเติบโต ตอกย้ำการเป็นผู้นำอสังหาฯชั้นนำของประเทศ ระบุยังมีโครงการในพอร์ตพร้อมทำดีลอีก 6 โครงการ ที่พราวฯและผู้ประกอบการรายอื่นเล็งเจรจาเพิ่มเติม
นายพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด(มหาชน)หรือ PROUD เปิดเผยว่า หลังจากที่ผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว อยากให้รัฐบาลชุดใหม่เอื้อประโยชน์กับตลาดทุนและคนหมู่มากให้ได้มากที่สุด ส่วนเรื่องการปรับเรื่องค่าแรง 450 บาท/วันนั้น โดยรวมรู้สึกเห็นด้วย แต่ทั้งนี้คงต้องมีการกำหนดของประเภทแรงงาน และธุรกิจก่อน ด้วยการทดสอบเป็นกลุ่มๆไปก่อน ซึ่งมองว่า ณ วันนี้ความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยยังมีอีกมาก และเป็นเรื่องที่ใหญ่พอสมควร

อย่างไรก็ตามหลังจากที่บริษัทฯลงนามสัญญาซื้อหุ้นสามัญ ของบริษัท คูคต สเตชัน อัลไลแอนซ์ จำกัด (KK) และ บริษัท พระราม 9 อัลไลแอนซ์ จำกัด (PA9) ในสัดส่วน 100% จาก บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ NOBLE และ บริษัท ทีเอ็นแอล อัลไลแอนซ์ จำกัด (TNLA) โดยทั้ง 2 บริษัทดำเนินงานพัฒนาใน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 (Nue District R9)มียอดขาย (pre-sales) แล้ว 83% คาดว่าจะรับรู้รายได้ภายในปี 2568 และโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน (Nue Cross Khu Khot Station) ) มียอดขาย (pre-sales) แล้ว 100% คาดว่าจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดได้ในต้นปี 2567 คิดเป็นมูลค่ารวม 1,735 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการจะทยอยรับรู้รายได้ทันในปี 2567-2568 ผลักดันให้บริษัทมี Backlog แตะ 10,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่  2,180 ล้านบาท

โดยบริษัทเตรียมนำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น(EGM) เพื่อระดมทุนจำนวน 2,490 ล้านบาท แบ่งเป็น การออกหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของ PROUD (RO) ในอัตราส่วน 1.80 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคา 1.75 บาท/หุ้น รวมมูลค่าไม่เกิน 624 ล้านบาท และส่วนที่เหลือเป็นเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อเป็นเงินทุนและเสริมสภาพคล่องในการดำเนินงานอีก 1,890 ล้านบาท

ทั้งนี้การออกหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทแบบ RO มูลค่าไม่เกิน 624 ล้านบาท เพื่อนำมารองรับดีลการเข้าซื้อโครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 (Nue District R9) และโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน (Nue Cross Khu Khot Station) บริษัทฯมีความั่นใจในการเพิ่มทุนครั้งนี้ ซึ่งได้สำรวจคความต้องการของนักลงทุนทั้งหมดแล้วมีความสนใจแบะมีความพร้อมในการเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อร่วมกันผลักดันศักยภาพของบริษัทให้เติบโตขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของบริษัทที่พร้อมลงทุนเพิ่มในการเพิ่มทุนครั้งนี้ รวมถึงพันธมิตรในดีลการซื้อขายครั้งนี้ คือ NOBLE ซึ่งจะมีการเพิ่มทุนเข้ามา และจะเข้ามาถือหุ้นใน PROUD ไม่เกิน 5% เพื่อสร้างความมั่นใจและร่วมกันในการพัฒนาโครงการที่มาจากดีลการซื้อขายครั้งนี้ให้ส่งมอบกับลูกค้าเป็นไปตามแผนงานที่ววางไว้ อีกทั้งยังมีพันธมิตรจากทาง NOBLE เข้ามาเพิ่มทุนในครั้งนี้ด้วย และส่วนที่เหลืออีกราว 10% จะมาจากการเพิ่มทุนของนักลงทุนทั่วไปที่พร้อมสร้างโอกาสในการต่อยอดและเสริมศักยภาพให้กับบริษัท

 

สำหรับดีลการซื้อ 2 โครงการ จาก NOBLE ทางบริษัทคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ขั้นต่ำประมาณ 12% แม้ว่าจะต่ำกว่าการพัฒนาโครงการเองที่มี IRR ตั้งแต่ 20% ขึ้นไป แต่แลกมากับความเสี่ยงที่ต่ำ เพราะโครงการผ่านการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)เป็นที่เรียบร้อย มีการเริ่มก่อสร้างแล้ว และมียอดขายครบ 100% ของโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน และ 82% ของโครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 ซึ่งสามารถปรับราคาเพิ่มขึ้นได้อีก 10% จากปัจจุบันที่เฉลี่ย 150,000-160,000 บาท/ตารางเมตร และคาดหวังที่จะขายให้ครบ 100% ภายในสิ้นปี 2566

ล่าสุดบริษัทได้ประกาศแผนธุรกิจหลังเทิร์นอะราวนด์สำเร็จทั้งรายได้-กำไร ในผลประกอบการไตรมาส 1/2566 จากความมุ่งมั่นสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและมั่นคง บริษัทจึงได้มองหาโอกาสในการขยายธุรกิจ และพอร์ตโครงสร้างธุรกิจให้มีความหลากหลายมากขึ้นทั้งทำเลที่ตั้งและกลุ่มลูกค้า สอดรับกลยุทธ์แผนการดำเนินงาน สำหรับความร่วมมือกันครั้งนี้ ถือเป็นสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดของบริษัทผลักดันให้รายได้ แตะ 10,000 ล้านบาท ในปี 2569 จากเป้าหมายที่วางไว้เดิมที่ 4,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังเป็นการขยายฐานทุน เพิ่มขีดความสามารถทางการเงินและศักยภาพของบริษัท

“ดีลนี้มาพร้อมกับการสร้างโอกาสการเติบโต (Scale Up) อย่างยั่งยืน และติดอันดับ Top10 ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยทั้ง 2 โครงการที่ซื้อมา เราอยู่ในระหว่างการพิจารณาใน 3 รูปแบบ คือ Hospitality ,Home Being และ Harmony Living รวมไปถึงรูปแบบพร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเมนต์ เพื่อนำมาอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าทั้ง 2 โครงการ เฉกเช่นที่เคยทำในโครงการอินเตอร์คอน ติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน และโครงการ เวหา หัวหิน มาแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูลว่าจะสามารถขยายอะไรได้อย่างไรบ้าง” นายพสุ กล่าว

ด้านนายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ NOBLE กล่าวว่า การจำหน่าย 2 โครงการภายใต้บริษัทร่วมทุน 2 แห่งดังกล่าว ถือเป็นจังหวะที่เหมาะสมสำหรับการต่อยอดธุรกิจ ภายใต้การเป็น Strategic Partner ร่วมกันของทั้ง 2 บริษัท ซึ่งจากการร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มสู่การต่อยอดและการเติบโตให้กับ NOBLE และ PROUD ในอนาคต

สาเหตุที่บริษัททำรายการขายทั้ง 2 โครงการดังกล่าว เป็นไปตามกลยุทธ์ในการดำเนินการของบริษัทที่มีความต้องการสร้างอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นและอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงที่สุด (Maximize Return on Equity (ROE) & Internal Rate of Return (IRR) ) จากการลดระยะเวลาการถือครองและรับรู้กำไรที่สมเหตุสมผล โดยโครงการร่วมทุนทั้ง 2 โครงการเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จในการขายอย่างสูง

“มูลค่าขายของทั้ง 2 โครงการถือเป็นการขายในมูลค่าที่สร้างผลตอบแทนที่ดีทั้งในแง่ของกำไรที่รับรู้ได้และกระแสเงินสดที่ได้กลับมา รวมถึงค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่จะได้รับมากขึ้นจากอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ที่สูงขึ้น หากเทียบกับการถือครองจนจบโครงการในฐานะเป็นผู้บริหารโครงการร่วมทุน ทำให้มองว่าการขายในช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมและสามารถนำเงินสดมาหมุนเวียนเพื่อนำไปลงทุนในโครงการใหม่ๆที่ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น รวมถึงยังเป็นการปรับปรุงโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอีกด้วย” นายธงชัย กล่าว

นอกจากนี้การขายโครงการดังกล่าวยังเป็นการปรับพอร์ตโฟลิโอของโครงการร่วมทุนเพื่อที่จะเพิ่มโครงการร่วมทุนใหม่ๆในอนาคต ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีโครงการร่วมทุนกับ บริษัท ทีเอ็นแอล อัลไลแอนซ์ จํากัด(TNLA) รวมทั้งสิ้น 13 โครงการ มูลค่ารวม 34,800 ล้านบาท และบริษัทยังทำหน้าที่เป็นผู้บริหารโครงการในบทบาทเดิม ซึ่งโครงการจะถูกบริหารภายใต้บริษัทเช่นเดิมทุกประการ รวมถึงชื่อโครงการ การก่อสร้างตามข้อผูกพันเดิมกับลูกค้าตามรายละเอียดที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย รวมไปถึงการบริหารโครงการหลังการขายและการรับประกันผลงานการก่อสร้าง เพื่อให้ไม่มีผลกระทบใดๆกับลูกค้า

อย่างไรก็ตาม สำหรับกระบวนการขายเงินลงทุนและโอนหุ้นใน PA9 และ KK รวมถึงเงินกู้ยืมผู้ถือหุ้นบางส่วนจะเกิดขึ้นภายหลังจากที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายหุ้นครบถ้วนแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2566  ส่งผลให้บริษัทจะสามารถบันทึกกำไรพิเศษในไตรมาส 3/2566 โดยการขายเงินลงทุนใน 2 โครงการให้กับ PROUD ครั้งนี้ ทำให้ NOBLE ได้รับเงินจากการขายเงินลงทุนเข้ามา 1,300 ล้านบาท และพร้อมนำเงินไปรองรับการลงทุนต่อ โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการใหม่ๆภายในการร่วมทุนกับกลุ่มบีทีเอส และสหพัฒน์ฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาทำเลใหม่ในการลงทุนพัฒนาโครงการ

“ดีลการซื้อขาย 2 โครงการของ NOBLE ให้กับ PROUD ครั้งนี้ ทาง NOBLE ยังคงร่วมกันทาง PROUD ในการบริหารโครงการต่อไปจนส่งมอบให้กับลูกค้า และเข้าลงทุนในการเพิ่มทุนใน PROUD เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นในร่วมการพัฒนาโครงการจนกระทั่งส่งมอบให้กับลูกค้า ขณะที่ดีลนี้ทาง NOBLE จะได้กำไรพิเศษเข้ามาประมาณ 400-500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะบันทึกเป็นกำไรพิเศษเข้ามาในช่วงไตรมาส 3/2566 และอาจจะมีการพิจารณาจ่ายปันผลพิเศษให้กับผู้ถือหุ้นของ NOBLE ตามความเหมาะสม ขณะเดียวกัน NOBLE ยังมีโครงการที่มีศักยภาพที่มีความพร้อมในการทำดีลขายเงินลงทุนของโครงการออกไป ซึ่งมีทั้ง PROUD และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นที่จะมีการเจรจาเพิ่มเติม ซึ่งมีอยู่ในพอร์ตประมาณ 6 โครงการที่มีศักยภาพ ได้แก่ NUE NOBLE รัชดา-ลาดพร้าว ยอดขาย 70% NUE ไฟฉาย-วังหลัง ยอดขาย 63% NUE MEGA PLUS บางนา ยอดขาย 68% NOBLE EVO ARI ยอดขาย 61% NUE CORE คูคต ยอดขาย 64% และ NUE RIVEREST ราษฎร์บูรณะ ยอดขาย 40%” นายธงชัย กล่าวในที่สุด

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*