ทายาทรุ่น 3 กลุ่มแกรนด์ พาราไดซ์ฯ เดินหน้าปั้นแบรนด์ “เดอะ พรอสเปคท์” อนาคตจ่อนำแลนด์แบงก์หัวเมืองท่องเที่ยวผุดโครงการต่อเนื่อง เผยระยะ 5 ปี สนพัฒนารูปแบบอาคารสูง ปลายปี 66 เตรียมเปิดขาย “เดอะ พรอสเปคท์”เฟส 3  SKY ZONE บ้านเดี่ยวระดับอัลตร้าลักชัวรี ราคาขายเริ่มต้นที่ 19.9-150 ล้านบาท มั่นใจปิดการขายทั้งโครงการภายใน 3 ปี มีรายได้รวมแตะ 2,000-3,000 ล้านบาท
นายธนบดี ฮุ่นตระกูล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แกรนด์ พาราไดซ์ วิลล่า จำกัด ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่ 3 เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทว่า จะเดินหน้าพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบแบรนด์“เดอะ พรอสเปคท์” (The Prospect) ให้เป็นที่รับรู้มากขึ้น ซึ่งในอนาคตมีแผนที่จะนำที่ดินสะสมของครอบครัวในหัวเมืองท่องเที่ยว อาทิ ระยอง พัทยา ภูเก็ต และสมุย มาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทำเลพัทยา ยังมีที่ดินสะสมอีกหลายพันไร่ และที่จ.ระยอง อีกเกือบพันไร่ ซึ่งทางครอบครัวซื้อสะสมไว้เมื่อครั้งที่รัฐบาลให้การสนับสนุนการลงทุนในพื้นที่อีสเทิร์นซีบอร์ด

โดยแผนอนาคตระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี สนใจที่จะพัฒนาโครงการแนวสูงทั้งในรูปแบบของคอนโดมิเนียม หรือโรงแรมด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูล และในปี 2567 บริษัทฯมีแผนที่จะพัฒนาบ้านแนวราบในเซกเมนต์อื่นที่ราคาต่ำกว่าแบรนด์ “เดอะ พรอสเปคท์”ด้วย ทั้งนี้คงต้องรอดูผลตอบรับจากโครงการ“เดอะ พรอสเปคท์ พัทยา” (The Prospect Pattaya) ก่อน

และประมาณปลายปี 2566 หรือต้นปี 2567 มีแผนที่จะเปิดตัว“เดอะ พรอสเปคท์”เฟส 3 SKY ZONE ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวระดับอัลตร้าลักชัวรี ขนาดที่ดินตั้งแต่ 240 ตารางวา ถึงเกือบ 1 ไร่ ราคาขายเริ่มต้นที่ 19.9-150 ล้านบาท

“เดอะ พรอสเปคท์ พัทยา” (The Prospect Pattaya) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองพัทยา ในซอยสุขุมวิท89 ทุ่งกลม-ตาลหมัน บนพื้นที่ทั้งหมด 55 ไร่ เป็นบ้านระดับลักชัวรี จำนวน 80 ยูนิต  มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท โดยปัจจุบัน เฟส 1 “Horizon” (ฮอไรซัน) ซึ่งประกอบด้วยบ้าน “Amber” และ “Onyx” มียอดขายแล้ว 40% คาดว่าในช่วงไตรมาส 1/2567 จะมียอดขายที่ 90% ด้านการก่อสร้างล็อตแรกจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/2566 ส่วนที่เหลือจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/2567

ส่วนเฟส 2“Tropical” (ทรอปิคอล) ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวชั้นเดียวแบบ “Agate” (อาเกต) มีบ้านในสต็อก 3 หลังที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยหลังแรกจะแล้วเสร็จในช่วงต้นไตรมาส 3 2566 และอีก 2 หลังที่เหลือจะแล้วเสร็จหลังจากนั้นไม่นาน โดยวางเป้าขายเฟสที่ 2 ที่ 60% ภายในไตรมาส 1 ปี  2567 ทั้งนี้ ด้วยปัจจัยที่ตั้งโครงการที่มีศักยภาพซึ่งเป็นที่ดินที่มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะทำให้โครงการฯ สามารถขายล่วงหน้าก่อนการก่อสร้างได้อย่างแน่นอน

นายธนบดี กล่าวเพิ่มเติมว่า เดิมในช่วงแรกที่เปิดขายโครงการเมื่อปี 2562 จะเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวยุโรปเป็นหลัก แต่เมื่อเกิดวิกฤติโควิด-19 ส่งผลให้ปรับแผน หันมาเน้นลูกค้าที่เป็นลูกค้าคนไทยมากขึ้น และจากการสำรวจพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่ ชอบซื้อโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมอยู่อาศัยได้ทันที ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้พยายามที่จะทำความเข้าใจลูกค้าเพื่อตอบโจทย์ให้ได้มากที่สุด โดยยอดขายทั้ง 2 เฟสที่ผ่านมาจะเป็นลูกค้าคนไทยเป็นส่วนใหญ่ และเป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง เพื่อไว้พักผ่อนในช่วงวันหยุด และอีกกลุ่มจะเป็นกลุ่มที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในทำเลพัทยา โดยหากเป็นการซื้อเพื่อปล่อยเช่านั้น บ้านสูง 2 ชั้น สามารถปล่อยเช่าได้ในราคาประมาณ 150,000 บาท/เดือนขึ้นไป และบ้าน 1 ชั้น สามารถปล่อยเช่าได้ในราคาประมาณ 120,000 บาท/เดือนขึ้นไป

สำหรับซัพพลายตลาดลักชัวรีในพื้นที่พัทยา ในช่วงที่บริษัทฯเพิ่งเปิดตัวโครงการครั้งแรกนั้น ยังไม่ค่อยมีซัพพลายในระดับเดียวกันมากนัก แต่ปัจจุบันเริ่มมีคู่แข่งเพิ่มมากขึ้น ในคอนเซ็ปต์ที่คล้ายกัน และราคาถูกกว่าโครงการของบริษัทเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าการที่มีซัพพลายเข้ามาในตลาดมากขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ดี เพราะลูกค้าจะมีทางเลือกที่มากขึ้น

“พัทยาไม่ได้เป็นเพียงเมืองท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังอยู่ในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(Eastern Economic Corridor :EEC) ศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญทางภาคตะวันออก มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยเพิ่มมูลค่าของที่ดินในอนาคต ทำให้เราเชื่อมั่นในโครงการ The Prospect จะสามารถดึงดูดดีมานด์กลุ่มไฮเอนด์ ด้วยทำเลที่ตั้งของในศูนย์กลางพัทยา บวกรวมกับแนวคิดการสร้างสรรค์บ้านที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ และมูลค่าโครงการเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ทำให้นอกจากได้บ้านที่อยู่อาศัยแล้ว ยังได้เก็บทรัพย์สินที่มีมูลค่าส่งต่อให้กับรุ่นสู่รุ่นได้อีกด้วย” นายธนบดี กล่าว

อย่างไรก็ตามปี 2566 นี้ บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ไว้ที่  800 ล้านบาท และจะสามารถปิดการขายทั้งโครงการทั้ง 3 เฟส ได้ภายในระยะเวลา 3 ปี (นับจากปี 2566) ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้รวม 2,000-3,000 ล้านบาท

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*