ชาญอิสสระฯเผยภาวะสงครามไม่กระทบไทย แต่อาจได้อานิสงส์ด้านการท่องเที่ยว หวั่นนโบายปรับขึ้นแค่แรงกระทบต้นทุนพุ่งแน่ แนะภาครัฐออกกฎเกณฑ์อนุมัติ EIA ให้ได้มาตรฐาน ป้องกันความเสี่ยง เปิดแผนไตรมาส 4/65 จ่อผุด 3 โครงการใหม่ ยึดหัวหาดเดิม รวมมูลค่า 8,000 ล้านบาท ด้าน “ดิ อิสสระ สาทร”ยอดขายพุ่งแล้ว 60% ลูกค้าเน้นซื้ออยู่จริง การันตีผลตอบแทนจากลงทุน 6-7%ต่อปี เตรียมจัดแคมเปญพิเศษงาน Grand opening รับโปรโมชั่น Extreme Free ตั้งแต่ 15 ต.ค.-31 ธ.ค.66
นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาญอิสสระ จำกัด(มหาชน) หรือ CI เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมการเมืองในประเทศจะนิ่งแล้ว แต่ปัจจัยภายนอกอย่างสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ยังไม่สงบ และล่าสุดการสู้รบระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตล์ แต่ทั้ง 2 ปัจจัยนี้ประเทศไทยจะได้อานิสงส์ ในด้านการท่องเที่ยวและการซื้อที่อยู่อาศัย จากการหนีภัยสงคราม ส่วนเหตุการณ์ที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนนั้น ไม่มีผลกระทบต่ออัตราการเข้าพักโรงแรมในเครือของบริษัท

สำหรับนโยบายของรัฐบาลมองว่าที่ผ่านมามีการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วและถูกต้อง เพราะสามารถทำได้ทันที  ส่วนการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยถือว่าเป็นเรื่องดี ด้านโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทนั้น คงไม่สามารถสังเคราะห์ได้  ต้องให้รัฐบาลออกมาชี้แจงให้ชัดเจน ว่าโครงการดังกล่าวดีอย่างไร ด้านนโยบายการปรับขึ้นค่าแรง หากมีการดำเนินงานจริง คงมีผลกระทบ เพราะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี ซึ่งค่อนข้างเป็นห่วง เพราะต้นทุนจะต้องปรับขึ้นสูงอย่างแน่นอน

ส่วนกรณีการที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคอนโดฯหรูย่านใจกลางเมือง 2 แห่งแล้ว มองว่ารัฐบาลควรสร้างมาตรฐานการพิจารณาการอนุมัติ ในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) ของทุกโครงการให้มีความชัดเจน เพราะที่ผ่านมามาตรฐานของคณะกรรมการแต่ละท่านจะต่างกัน ซึ่งทุกโครงการของบริษัทที่พัฒนาก็จะมีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก

สำหรับแผนการดำเนินงานในไตรมาส 4/2566 จะเปิดตัวใหม่อีก 3 โครงการ ในกรุงเทพฯ,หัวหิน และภูเก็ต รวมมูลค่าประมาณ 8,000 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

ทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 มองว่าจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้รวมที่ 1,096.92 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 171.85 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการโอนกรรมสิทธิ์โครงการใหม่ จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,000 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานทั้งปี 2566 บริษัทคาดว่าน่าจะทรงตัวเท่ากับปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,175.50 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 199.77  ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว แม้ว่าธุรกิจโรงแรมจะดีขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรมที่ประมาณ 30-40% ของรายได้รวม

อย่างไรก็ตามในช่วงปลายปีนี้ บริษัทฯจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์โครงการ “ดิ อิสสระ สาทร”(The Issara Sathorn)ลักชัวรี่คอนโดมิเนียม  ตั้งอยู่ทำเล ถนนจันทน์-สาทร บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ สูง 37 ชั้น  1 อาคาร ขนาดตั้งแต่ 32.75-188.76 ตารางเมตร ราคา 5.59-36.66 ล้านบาท จำนวน 270 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ซึ่งการก่อสร้างได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่กลางปี 2563 และคาดว่าจะเสร็จและโอนกรรมสิทธิ์ได้ในปลายปี 2566 ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 60% โดยลูกค้าสัดส่วน 90% เป็นคนไทย และอีก 10% เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หากปล่อยเช่า ราคาเริ่มต้นที่ 17,000 บาท/เดือน และการันตีผลตอบแทนจากลงทุน 6-7%ต่อปี คาดว่าจะปิดการขายได้ในปลายปี 2567

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาโครงการ “ดิ อิสสระ สาทร” ได้เปิดให้ลูกบ้านเข้ามาตรวจรับห้องแล้ว แต่ยังต้องใช้เวลาในการส่งมอบหลังตรวจ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 11  ตุลาคม 2566นี้ จะมีการเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้  ในช่วงวันที่ 15 ตุลาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เตรียมจัดแคมเปญพิเศษงาน Grand opening รับโปรโมชั่น Extreme Free เพียงลูกค้าจองห้องในช่วงระยะเวลาดังกล่าว รับ อาทิ iPhone 15 pro max, ฟรีเฟอร์นิเจอร์แพกเกจ Euro Creation มูลค่า 1-3 ล้านบาท

ส่วนอีกโครงการที่จะโอน คือ “ศศรา หัวหิน”(SASARA Hua Hin) ลักชัวรี่ บีช ฟร้อน เรสซิเดนซ์ อาคารสูง 4 ชั้น 5 อาคาร จำนวน 110 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาโครงการ “ดิ อิสสระ สาทร” ได้เปิดให้ลูกบ้านเข้ามาตรวจรับห้องแล้ว แต่ยังต้องใช้เวลาในการส่งมอบหลังตรวจ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 11 ตุลาคม 2566นี้ จะมีการเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้  ในช่วงวันที่ 15 ตุลาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566เตรียมจัดแคมเปญพิเศษงาน Grand opening รับโปรโมชั่น Extreme Free เพียงลูกค้าจองห้องในช่วงระยะเวลาดังกล่าว รับ อาทิ iPhone 15 pro max, ฟรีเฟอร์นิเจอร์แพ็กเกจ Euro Creation มูลค่า 1-3 ล้านบาท

นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์
นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคในการมองหาที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน โดยเฉพาะย่านใจกลางเมือง ว่าผู้บริโภคให้ความสำคัญในการเลือกซื้อคอนโดมิเนียมที่สามารถตอบโจทย์ความสะดวกสบายทั้งในเรื่องการเดินทางที่สะดวกรวดเร็ว ลดระยะเวลาในการเดินทาง และมีเวลาได้ใช้ชีวิตในไลฟ์สไตล์ที่เป็นตัวเอง ซึ่งที่อยู่อาศัยจึงต้องเป็นมากกว่าที่พัก สามารถเป็นสถานที่ที่ครบครันด้วยการมีพื้นที่ที่มี Lifestyle ปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานให้เป็นสถานที่เป็น Workplace เป็น Extreme Lifestyle and Health Conscious ดังนั้น โปรดักส์ที่มีความแตกต่าง มีความเป็น Quite Luxury and Cozy Condo จึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับกลุ่มผู้บริโภคในยุคนี้ ซึ่งในปัจจุบัน Supply คอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคยังมีอยู่น้อย เมื่อเทียบกับ Demand ที่มีอยู่

“สิ่งที่น่าจับตามองอีกประการนอกจากเรื่องทำเล ไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์แล้ว ขนาดของพื้นที่ห้องเป็นอีกหนึ่งปัจจัย โครงการที่พัฒนาขนาดห้องให้มีขนาดใหญ่ จำนวนยูนิตไม่เยอะ จะเป็นจุดสนใจให้แก่กลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะทำเลที่อยู่ใกล้โรงเรียนนานาชาติ ที่คาดหวัง Turnover จากผู้ปกครอง รวมถึงโซนที่ตั้งอาคารสำนักงาน ที่กลุ่ม Expat ชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ต่างก็มองหาห้องขนาดใหญ่ในทำเล Prime Area ใจกลางเมือง” นางนลินรัตน์ กล่าวในที่สุด

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*