ภูเก็ต ถือว่าเป็นจังหวัดที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกมายาวนาน ส่งผลให้เป็นหัวเมืองท่องเที่ยวอันดับ 1 ของประเทศไทย ที่มีชาวต่างชาติสนใจไปท่องเที่ยว ซื้อที่อยู่อาศัยทั้งในรูปแบบของการอยู่อาศัยและการลงทุนมากขึ้น ซึ่งมีทั้งในรูปแบบของวิลล่าหรู ราคาแพง ราคาหลักสิบล้านถึงหลักร้อยล้าน หรือบ้านเดี่ยวและคอนโดฯในหลากหลายระดับราคาซึ่งเป็นการพัฒนาโดยผู้ประกอบการที่เป็นชาวต่างชาติ ที่ขายชาวต่างชาติด้วยกัน ,ผู้ประกอบการในท้องถิ่น และรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยกลุ่มที่เข้ามาลงทุนในภูเก็ตอันดับต้นๆคือ บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน),บริษัท ไรมอน แลนด์จำกัด(มหาชน) (กลุ่มทุนเดิม) และบริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) เป็นต้น ซึ่งล้วนกอบโกยยอดขาย รายได้ และผลกำไรได้เป็นอย่างดี 
จนกระทั่งในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบทุกธุรกิจและภาคธุรกิจอสังหาฯทั่วประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการต่างชะลอแผนการพัฒนาโครงการใหม่ไปประมาณ 3 ปีในช่วงที่เกิดวิกฤติ และหลังวิกฤติโควิด-19 หลังฟ้าแจ่มใส ผู้ประกอบการต่างชาติ,รายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯและผู้ประกอบการในท้องถิ่น ทั้งเจ้าตลาดเดิม และรายใหม่ เริ่มกลับเข้ามาพัฒนาโครงการอสังหาฯในหลากหลายรูปแบบ หลายระดับราคากันมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งในรูปแบบของการพัฒนาเอง และการร่วมทุนกับพันธมิตร ที่เป็นผู้ประกอบการในพื้นที่ หรือเป็นแลนด์ลอร์ด ที่มีที่ดินเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีประสบการณ์ในการพัฒนาอสังหาฯ ก็จะร่วมทุนกับบริษัทฯอสังหาฯที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนา (กลุ่มแลนด์ลอร์ดที่มีที่ดินสะสมในจ.ภูเก็ต มากที่สุดเห็นจะเป็นกลุ่มตระกูล “หงส์หยก” ที่มีธุรกิจที่หลากหลาย และที่ดินบางแปลงก็ปล่อยให้นักธุรกิจต่างๆเช่าดำเนินกิจการมากมาย) ซึ่งจะเห็นภาพการลงทุนจากการประกาศแผนของบริษัทต่างๆอย่างชัดเจนมากที่สุดในครึ่งปีหลัง 2566 และแนวโน้มปี 2567 ก็ยังคงมีการรุกการพัฒนาโครงการในจ.ภูเก็ต กันอย่างต่อเนื่อง 
หาดบางเทา-ลายัน มาแรง เปิดตัวคอนโดฯมากสุด
ทั้งนี้ข้อมูลจาก บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย)จำกัด เผยถึงภาพรวมตลาดวิลล่าและคอนโดมิเนียมใน จ.ภูเก็ต ว่ามีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากการผ่อนคลายการแพร่ระบาดของโควิด-19 เห็นได้จากการเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยตากอากาศระดับลักชัวรี่ใน จ.ภูเก็ตที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้พัฒนาโครงการ โดยเฉพาะภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียมในภูเก็ต ทำสถิติยอดขายในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 อยู่ที่ 1,486 ยูนิต สูงที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โดยช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีอัตราการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่อยู่ที่ 364 ยูนิต และซีบีอาร์อี คาดการณ์ว่าตลอดทั้งปี 2566 จะมีคอนโดมิเนียมใหม่เปิดตัวรวมทั้งสิ้นกว่า 3,000 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากปี 2565 อยู่ที่ 8.9% และยังถือว่ามีการเปิดตัวโครงการมากกว่าช่วงปี 2561-2565 หรือคิดเป็น 2.03 เท่าของค่าเฉลี่ยการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยทำเลที่มีการเปิดตัวสูงที่สุดจะเป็นทำเลชายฝั่งตะวันตกกลาง West Coast (Central) โดยหาดที่มีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมมากที่สุด คือ หาดบางเทา และหาดลายัน

จับตากลุ่มตะวันออกกลาง-อินเดีย อาจะเปลี่ยนใจหันลงทุนอสังหาฯ

โดยซีบีอาร์อี ปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียมในภูเก็ต ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 113% ของตัวเลขยอดขายรวมทั้งปี 2565 โดยมีสัดส่วนลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติอยู่ที่ร้อยละ 50 เท่ากัน ซึ่งลูกค้าชาวต่างชาติส่วนใหญ่มาจากโซนยุโรปและโซนเอเชีย ได้แก่ รัสเซีย จีน และอังกฤษ ตามลำดับ โดยซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่าในปี 2567 ชาติดังกล่าวข้างต้นจะยังคงเป็นกลุ่มผู้ซื้อหลักเช่นเดิม อีกทั้งยังพบว่า มีตัวเลขชาวต่างชาติอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าจับตามอง ด้วยการเพิ่มขึ้นของตัวเลขการสอบถามที่พักอาศัยตากอากาศอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ กลุ่มตะวันออกกลาง และอินเดีย โดยพฤติกรรมของชาวต่างชาติจะเริ่มต้นจากการเข้ามาท่องเที่ยวและชื่นชอบในตัวจังหวัดภูเก็ต  จึงเกิดความสนใจในที่พักอาศัยตากอากาศ อีกทั้งยังเล็งเห็นถึงโอกาสในการลงทุนจึงเปลี่ยนสถานะจากนักท่องเที่ยวเป็นผู้ซื้อ หรือนักลงทุน แสดงให้เห็นถึงภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2567 จะยังคงได้รับความสนใจจากทั้งลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง

สำหรับ 2 วัตถุประสงค์หลักที่ลูกค้ากลุ่มลักชัวรี่ตัดสินใจซื้อที่พักอาศัยตากอากาศในภูเก็ต ได้แก่ การซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่าร้อยละ 79 รองลงมาคือเพื่ออยู่อาศัยเองเป็นที่พักตากอากาศหรือบ้านหลังที่สองร้อยละ 21

โดยลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า เนื่องจากชอบศักยภาพของจังหวัดภูเก็ตที่รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและมีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ และต่างประเทศ ประกอบกับเล็งเห็นแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ทั้งโครงการระยะสั้นและระยะยาว อาทิ การขยายท่าอากาศยานภูเก็ตระยะที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2571 โดยจะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติที่จะมายังภูเก็ตกว่า 18 ล้านคนต่อปี รวมถึงการสร้างทางด่วนสายใหม่กะทู้-ป่าตอง และโครงการก่อสร้างทางแยกต่างระดับใหม่ ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพของภูเก็ตให้สามารถดึงดูดผู้มาเยือนทั้งนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทย(Expat)  ซึ่งปัจจุบันตัวเลข expat มีจำนวนสูงเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ สะท้อนถึงดีมานด์และศักยภาพของผู้เช่าระดับบนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่จะหมุนเวียนเข้ามาอย่างต่อเนื่องโดยทำเลที่ลูกค้าซีบีอาร์อีมองหาเป็นอันดับต้นๆ คือ ริเวณหาดบางเทาและหาดลายัน เนื่องจากมีชายหาดที่สวยงามและเป็นหาดที่ยาวเป็นอันดับสองในภูเก็ต และโดดเด่นในด้านการเดินทางเชื่อมทำเลอื่นๆ ได้สะดวก ดังนั้นหาดบางเทาและหาดลายันจึงเป็นหนึ่งในทำเลเศรษฐกิจและทำเลที่น่าอยู่อาศัย เหมาะแก่การซื้อไว้เพื่อลงทุนปล่อยเช่าและอยู่อาศัยเอง

ทั้งนี้จุดแข็งของคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนในจังหวัดภูเก็ตคือมีการบริหารการเช่า ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่กลุ่มนักลงทุนโดยไม่ต้องกังวลในเรื่องของการบริหารจัดการ การหาผู้เช่า และมีข้อดีคือทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าสินทรัพย์ของตนจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่การลงทุน ซึ่งหากพูดถึงการลงทุนแล้ว สิ่งแรกที่ลูกค้าหลายคนมองหาคือ อัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าในแต่ละปี (Yield) ผลตอบแทนกับเงินที่ลงทุนไป (Return on Investment) และระยะคุ้มทุน (Payback Period)  รวมถึงมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต(Value Appreciation) หากไม่ได้อยู่อาศัยเอง ก็สามารถปล่อยเช่าเพื่อสร้าง Passive Income ได้โดยอัตราผลตอบแทนในการปล่อยเช่าจากคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ในภูเก็ตที่ผ่านมาอยู่ระหว่าง 6%-8% ต่อปี ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนในการลงทุนที่ได้ขึ้นอยู่กับการตกแต่งภายในขนาดของห้อง รวมถึงวิวและเซอร์วิสที่ได้รับจากทางโครงการ

สำหรับลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง เป็นที่พักตากอากาศหรือบ้านหลังที่ 2 เนื่องจากปัจจัยด้านการออกแบบที่โดดเด่นและคุณภาพของโครงการ รวมถึงชื่อเสียงของผู้พัฒนาโครงการ ลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการที่พักตากอากาศที่มีการบริการจากเครือโรงแรมระดับห้าดาว (Branded Residence) อาทิ Concierge Service ตลอด 24 ชั่วโมง และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่ครบครัน

คอนโดฯรูปแบบ Branded Residence ตอบโจทย์ลูกค้าไทย-เทศ

ดังนั้นจึงเชื่อว่าในปี 2567 คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ในภูเก็ตจะยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติที่กำลังมองหาที่พักอาศัยตากอากาศเพื่อการลงทุนปล่อยเช่าและอยู่อาศัยเอง โดยคอนโดมิเนียมรูปแบบ Branded Residence ที่มีเซอร์วิสที่ได้มาตรฐานการบริการจากเครือโรงแรมระดับห้าดาวและมีการบริหารการเช่าพ่วงมาด้วยแล้วนั้น จะอยู่ในลิสต์ลำดับต้น ๆ ที่ลูกค้ากลุ่มลักชัวรี่มองหา เพราะมีความสะดวกสบายมากกว่าโครงการทั่วไปอีกทั้งหากไม่อยู่อาศัยเองก็ยังสามารถลงทุนปล่อยเช่าและทำกำไรในระยะยาวได้ โดยการกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเยือนจังหวัดภูเก็ตที่เพิ่มมากขึ้นจะส่งผลดีต่อตลาดที่พักอาศัยตากอากาศในภูเก็ตเช่นกัน

SPALI เจ้าตลาดที่อยู่อาศัยภูเก็ตนาน 16 ปี

โดย บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) หรือ SPALI ถือเป็นบริษัทอสังหาฯจากกทม.รายแรกๆที่เข้าไปพัฒนาโครงการในจ.ภูเก็ต จนถึงปัจจุบันรวมเป็นระยะเวลา 16 ปีแล้ว พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ รวม 26 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 21 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ ในจำนวนดังกล่าว ได้รวม 2 โครงการใหม่ที่เปิดตัวในปี 2566 นี้ด้วย คือ

1.“ศุภาลัย เลค วิลล์ ภูเก็ต” ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 102 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 2,600 ล้านบาท พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดสไตล์ Tropical Modern Series ที่มีให้เลือกมากถึง 12 แบบ โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ดึงความเป็นธรรมชาติมาไว้ในตัวบ้านได้อย่างลงตัว พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 138 – 417 ตารางเมตร  ในราคาเริ่มต้น 4 ล้านกว่าบาท มูลค่าโครงการประมาณ2,600 ล้านบาท โดยได้เปิดงาน Grand Opening เมื่อวันที่ 11 – 12 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา

2.“ศุภาลัย เบลล่า วิชิต ภูเก็ต”ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 21 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของ“บ้านเดี่ยว” รองรับทุกไลฟ์สไตล์ของครอบครัวรุ่นใหม่ พื้นที่ใช้สอย 133 – 164 ตารางเมตร  ,บ้านแฝด” เทียบเท่าบ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอย 149 ตารางเมตร และ ทาวน์โฮม พื้นที่ใช้สอย 119 ตารางเมตร จำนวน 158 แปลง ราคาเริ่มต้นที่ 3.19 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณ  600 ล้านบาท ซึ่งได้เปิดพรีเซลไปเมื่อวันที่ 28-29 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา

 

SIRI ประกาศแผน 5 ปี ผุด 16 โครงการ รวมมูลค่า 1.5 หมื่นล้าน

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ถือเป็น 1 ในอสังหาฯรายแรกๆ รองจากศุภาลัยฯ ที่เข้าไปพัฒนาโครงการในภูเก็ตมากว่า 15 ปี ทั้งรูปแบบโครงการแนวราบและแนวสูงรวม 21 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนสะสม 21,000 ล้านบาท สามารถตอบโจทย์ได้ทุกกลุ่มลูกค้าครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ในทุกโปรดักส์ ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ทุกทำเลในภูเก็ต ซึ่งทุกโครงการของแสนสิริ ในจ.ภูเก็ต มียอดขายที่ดีมาโดยตลอด
โดยโครงการแรก ที่แสนสิริฯเข้าไปพัฒนาคือ แบรนด์ “ดีคอนโด กะทู้” (dcondo Kathu) เป็นคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร รวมทั้งหมด 556 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวม 646 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้นที่ 999,000 บาท

สำหรับในปี 2566 แสนสิริฯ มีการเปิดตัวคอนโดฯใหม่ 2 โครงการ รวมมูลค่า 2,990 ล้านบาทคือ “ดีคอนโด รีฟ ภูเก็ต” (dcondo Reef Phuket) มูลค่าโครงการ 1,370 ล้านบาท และ “เดอะเบส บูกิต” (THE BASE Bukit) มูลค่าโครงการ 1,620 ล้านบาท

และในปลายปี 2566 แสนสิริฯได้ ประกาศแผนกลยุทธ์ 5 ปี (2566-2570) เพื่อเปิดตัวโครงการใหม่ในจ.ภูเก็ต รวม 16 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 9 โครงการ และโครงการแนวสูง 7 โครงการ ซึ่งมีทั้งการพัฒนาเอง และร่วมทุนกับพันธมิตรชาวไทยและต่างชาติ

อีกทั้งภายในปี 2567 แสนสิริฯยังได้วางแผนเปิดตัว “Sansiri Hub”หรือออฟฟิศของแสนสิริขึ้นมาอย่างเป็นทางการ เพื่อหวังจะเป็นฮับในภูมิภาค ที่พร้อมดูแลและให้บริการลูกค้าในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือต่างชาติอีกด้วย

ORI บุกหนัก ปีเดียวผุด 3 โครงการ รวมมูลค่า 4.1 พันล้านบาท

ด้าน บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ในปี 2566 ถือว่าเป็นปีแรกที่รุกตลาดอสังหาฯภูเก็ต ด้วยการตั้งบริษัทลูกคือ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด เพื่อบริหารโครงการในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต โดยเร่ิมจากการพัฒนาโครงการ“ดิ ออริจิ้น เซ็นเตอร์ ภูเก็ต”(The Origin Centre Phuket)  ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเหมืองนาคา และสามารถปิดการขายได้ภายใน 6 สัปดาห์

พร้อมกับเปิดตัว ดิ ออริจิ้น กะทู้-ป่าตอง“(The Origin Kathu-Patong) อย่างต่อเนื่อง โดยเพียง 2 เดือน สามารถทำยอดขายได้กว่า 500 ล้านบาท และโครงการวิลล่า แบรนด์ใหม่ “บัลโค บางเทา บีช” มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท

อีกทั้งในปลายเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ออริจิ้นฯ ได้ต่อยอดความสำเร็จ ด้วยการผุดอาณาจักรมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ภายใต้ชื่อ“ออริจิ้น รีสอร์ทเวิล์ด ภูเก็ต | บางเทา บีช” (Origin Resort World Phuket | Bangtao Beach) ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่  รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 8,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนหาดบางเทา ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The one and only precious mixed use beach front community” บนพื้นที่กว่า 25 ไร่ประกอบด้วย 6 โครงการ ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมหรู สูง 8 ชั้น  “โซ ออริจิ้น บางเทา บีช”(SO Origin Bangtao Beach), ลักชูรี่ วิลล่า, โฮเทล วิลล่า, บีช คลับ, เรสซิเด้นท์ และโรงแรมระดับ 5 ดาว ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการในทุกเซกเมนต์ และรับตลาดท่องเที่ยวโตอย่างต่อเนื่อง

โดยในอาณาจักรดังกล่าวได้นำร่องด้วยการพัฒนาโครงการ โซ ออริจิ้น บางเทา บีช”(SO Origin Bangtao Beach) ในรูปแบบของคอนโดมิเนียมระดับ Luxury สูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร 545 ยูนิต และ 1 คลับเฮาส์ ขนาดห้องชุดเริ่มต้นที่ 26-50 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 3.59 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า  2,500 ล้านบาท ขึ้นเป็นโครงการแรก ซึ่งจะเปิดการขายในต้นปี 2567 และจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในไตรมาส 2 ปี 2567 แล้วเสร็จไตรมาส 4 ปี 2568 และอนาคตยังวางแผนเปิดตัวโครงการที่ภูเก็ตเพิ่มเติมอีกกว่า 11 โครงการ รวมคอนโดฯโรงแรม และ Luxury Villa อีกด้วย

CPN ชิมลาง “ฟีล ภูเก็ต” มูลค่ากว่า 1.5 พันล้านบาท
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการในรูปแบบ Retail-Led Mixed-Use Development โดยมีธุรกิจศูนย์การค้าค้าเป็นแกนหลัก สร้างความแข็งแกร่งของ Ecosystem เชื่อมโยงกับธุรกิจที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรม จากประสบการณ์ในการจับตลาด Residential กว่า  10 ปี ทำให้บริษัทฯมั่นใจในการบุกเบิกตลาดที่อยู่ในอาศัยในหลายจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลุ่ม CPN จะมีความได้เปรียบอสังหาฯค่ายอื่นตรงที่ มีที่ดินที่เชื่อมต่อกับห้างสรรพสินค้าในแต่ละจังหวัดนำมาพัฒนาได้ โดยถึงปลายปี 2566 กลุ่ม CPN ตั้งเป้าที่จะมีพอร์ตรวมทั้งสิ้น 34 โครงการ ใน 27 จังหวัด

สำหรับการพัฒนาโครงการในจ.ภูเก็ต นั้น CPN เพิ่งจะเข้ามาบุกตลาดในปี 2564 เป็นครั้งแรกด้วยการซื้อที่ดินต่อจากตระกูล “หงส์หยก” บริเวณทำเลเหมืองนาคา จำนวน 20 ไร่ เพื่อพัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯระดับไฮเอนด์ ภายใต้แบรนด์ “ฟีล ภูเก็ต” (Phyll Phuket) ใกล้เซ็นทรัล ภูเก็ต เพียง 300 เมตร  มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งแบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 เฟส โดยในเฟสแรกเปิดตัวไปแล้ว บนพื้นที่ 6 ไร่เศษ ประกอบการด้วยคอนโดฯ 3 อาคารสูง 8 ชั้น จำนวนทั้งหมด 439 ยูนิต พัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ “A Beach Life in the City” เสมือนยกบรรยากาศริมหาดมาไว้ใจกลางเมือง ด้วยการดีไซน์แบบ Beach City Condo สไตล์รีสอร์ท  ตัวอาคารจะมีความโค้งเว้าสลับเป็นชั้นเลียนแบบหมู่เกาะ ให้ทุกยูนิตสัมผัสถึงพื้นที่สีเขียวได้อย่างทั่วถึง ตัวอาคารโอบล้อมด้วยพื้นที่ส่วนกลางที่มีขนาดใหญ่ถึง 2 ไร่ ราคาขายอยู่ที่ประมาณ 2.69-6 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยที่ 93,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งเปิดการขายในปี 2566 ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 70% คาดการณ์ว่าจะสามารถปิดการขายทั้ง 3 เฟส (รวม 1,300 ยูนิต) ได้ภายในระยะเวลา 7 ปี จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ประมาณ 9 ปี เนื่องจากประเมินจากภาพรวมเศรษฐกิจในภูเก็ตในปัจจุบัน พบว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนา พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใน 2 รูปแบบ คือโครงการแนวราบ  ได้แก่แบรนด์ นินญา ราคาเฉลี่ย 12-20 ล้านบาท ,แบรนด์ นิยาม ราคาเฉลี่ย 30-60 ล้านบาท, แบรนด์นิรดา ราคาเฉลี่ย 6-10 ล้านบาท เป็นต้น ส่วนโครงการคอนโดมิเนียม พัฒนาภายใต้ แบรนด์ เอสเซ็นท์ ราคาเฉลี่ย 2-4 ล้านบาท ,แบรนด์ ฟีล ราคาเฉลี่ย 3-6 ล้านบาท และอาคารพาณิชย์ จะมีราคาเฉลี่ย 6-8 ล้านบาท เป็นต้น

ASW หลังเข้าถือหุ้นทางลัด รุกโปรเจกต์นำร่อง “เดอะ ไทเทิล เลเจนดารี บางเทา”

ขณะที่ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด(มหาชน) หรือ ASW เริ่มบุกตลาดอสังหาฯจ.ภูเก็ต ในปี 2566 เป็นครั้งแรก โดยใช้วิธีลงทุนในทางลัด เพื่อลดความเสี่ยง ด้วยการเข้าซื้อหุ้นคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 67.61 ในบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาฯ ในจ.ภูเก็ตที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 10 ปี พัฒนาอสังหาฯ ประเภทคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ “The Title” บนทำเลหาดในยาง, หาดราไวย์ และหาดบางเทา และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า สามารถปิดการขายแล้วเกือบทุกโครงการ ปัจจุบัน มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา อาทิ THE TITLE V RAWAI ปิดการขายแล้ว 100% ทยอยโอนกรรมสิทธิ์แล้ว 89% และโครงการ THE TITLE HALO 1 NAIYANG เปิดการขายเมื่อปลายปี 2565 ที่ผ่านมา ณไตรมาส 2/66 มียอดขายแล้วกว่า 79% จาก 329 ยูนิต ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส1/67

พร้อมกันนี้ ASW หลังเข้าไปถือหุ้น 2 บริษัทพันธมิตร ก็ได้รุกขยายการลงทุนโครงการอสังหาฯในจังหวัดภูเก็ต ในทันที ผ่านบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE และ บริษัท โบทานิก้า แกรนด์ อเวนิว จำกัด หรือ BGA เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ รวมถึงนักท่องเที่ยว และคนทำงานในจังหวัดภูเก็ต ด้วยการเปิดตัวโครงการ “เดอะ ไทเทิล เลเจนดารี บางเทา” (The Title Legendary Bang-Tao) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 15 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น จำนวน 9 อาคาร ประกอบไปด้วยห้องพัก 637 ยูนิต ขนาดเริ่มต้น 31 – 94 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้น 4.3 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท โดยแบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 เฟส ซึ่งได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายรวมแล้ว 80%

RML ผนึกพันธมิตรผุดรร.-วิลล่าลักชัวรี่ ราคาเริ่มต้น 600 ล้านบาท

บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด(มหาชน) หรือ RML ซึ่งได้เริ่มเข้าไปพัฒนาโครงการอสังหาฯในรูปแบบของคอนโดฯโลว์ไรส์ในย่านหาดกะตะหลายโครงการ ในช่วงหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง ช่วงประมาณปี 2549-2550 ซึ่งขณะนั้นผู้ถือหุ้นใหญ่ยังเป็นกลุ่มโรงแรมและรีสอร์ทในเครือ IFA (IFA HR) ซึ่งเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์คูเวตและโจฮันเนสเบิร์ก และ กลุ่มโรงแรม Istithmar เป็นบริษัทที่บริหารทรัพย์สินในอุตสาหกรรมการบริการหลักของอีสธิมาร์ ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนและลงทุนด้านอสังหริมทรัพย์ในสาธารณรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ ปัจจุบันหลังกลุ่ม “ณรงค์เดช” เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้ประกาศแผนพัฒนาโครงการที่ จ.ภูเก็ต อีกครั้ง ด้วยการลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับ บริษัท โรจนะ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด พันธมิตรที่เป็นเจ้าของที่ดินผืนงามย่านหาดกมลา ติดทะเล พื้นที่ประมาณ 50 ไร่ ในการพัฒนาโรงแรมและเรสซิเดนซ์ระดับลักชัวรี่ ในรูปแบบ Branded Residence โดยดึงกลุ่ม Rosewood เป็นผู้บริหารโครงการ ซึ่งเป็นวิลล่าระดับลักชัวรี่แห่งแรกของบริษัทในจังหวัดภูเก็ต ราคาขายเริ่มต้นที่กว่า 600 ล้านบาท มูลค่ากว่า7,000 ล้านบาท

SA ขยายฐานภูเก็ตครั้งแรก ผุดวิลล่าหรู “Island Collection”

บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA ได้ร่วมกับ บริษัท ฤทธา โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท ไดนาสตี้ สโตน จำกัด จัดตั้งบริษัทร่วมทุน “บริษัท ไซมิส สโตน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด” ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท พัฒนาโครงการแรกในจ.ภูเก็ต ภายใต้แบรนด์ “Island Collection” ไพรเวทพูลวิลล่า จำนวนจำกัด 9 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 69 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 620 ล้านบาท ทำเลใกล้หาดลายันและบางเทา ตั้งอยู่ที่ซอยโคกโตนด 3 ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง ภูเก็ต วางแผนเปิดพรีเซลปลายปี 2566 นี้ โดยทางไซมิสฯ ตั้งเป้าผลักดันยอดขายโครงการ “Island Collection” แตะ 60% ในปี 2567 เพราะประเมินว่าอสังหาฯ ภูเก็ตสามารถเติบโตได้อีกมาก มีความต้องการสูง ปัจจุบันซัพพลายตามไม่ทันดีมานด์ จึงเล็งเห็นเป็นโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนและอัตราดูดซับสูงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดข้างเคียง คือ พังงาและกระบี่

CI งัดที่ดินผืนสุดท้ายปั้นเวิลด์คลาสลักชัวรี่วิลล่า 4 หลังสุดท้าย

ขณะที่บริษัท ชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ จำกัด ในเครือ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ CI ซึ่งถือว่าเป็นอสังหาฯอีก 1 ค่าย ที่เข้าไปรุกตลาดภูเก็ต ด้วยการพัฒนาโรงแรมและวิลล่าหรู ระดับลักชัวรี่ขึ้นไป ภายใต้แบรนด์ “ศรีพันวา ภูเก็ต”เมื่อประมาณปี 2556 ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่เป็นจุดหมายปลายทางของภูเก็ตในช่วงนั้น โดยมีพื้นที่รวม 85 ไร่ ซึ่งทางเครือชาญอิสสระฯ ได้ทยอยพัฒนาโรงแรมและวิลล่า เป็นเฟสอย่างต่อเนื่อง

และล่าสุด “ศรีพันวา ภูเก็ต” ได้งัดที่ดินส่วนเรสซิเดนซ์ผืนสุดท้ายของโครงการ จำนวนกว่า 2 ไร่  ปั้นเวิลด์คลาสลักชัวรี่วิลล่าส่งท้ายปี 2566 ภายใต้แบรนด์ “The Sky Series เรสซิเดนซ์ 4 หลังสุดท้ายภายในโครงการ   ศรีพันวา ภายใต้แนวคิด Modern Natural ชูจุดเด่นด้านงานดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะจากสถาปนิกชั้นนำอย่างแฮบบิตา ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นที่1,200 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 250 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาทโดยทุกๆ หลัง จะคงคอนเซ็ปต์ในการอนุรักษ์ธรรมชาติ ต้นไม้ใหญ่สำคัญๆ ที่มีอยู่ ที่ยังคงเก็บไว้ ดังนั้นการออกแบบของเรซิเดนซ์ทั้ง 4 หลัง จะไม่เหมือนกัน เพราะทางชาญอิสสระฯจะรักษาต้นไม้ดั่งเดิมไว้ และทำบ้านให้อยู่โอบล้อมธรรมชาติ โดยจะเริ่มก่อสร้างในช่วงเดือนมิถุนายน 2567

 

“อาณา”ชิงความได้เปรียบแลนด์ลอร์ดในพื้นที่ผุดโครงการสู้คู่แข่ง

บริษัท อาณา ดีเวลอปเมนท์ จำกัด ในเครือ บริษัท ไตร พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นมาเมื่อประมาณปี 2554 เพื่อพัฒนาโครงการในจ.ภูเก็ต โดยนายชัยวัฒน์ ตันติวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ และประธานกรรมการบริหารด้านการเงินและการลงทุน บริษัท อาณา ดีเวลอปเมนท์จำกัด นั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในแลนด์ลอร์ด ในจ.ภูเก็ต ที่ดำเนินธุรกิจสวนปาล์มและเหมืองแร่ดีบุกมาก่อน จึงมองเห็นศักยภาพการเติบโตของภูเก็ตว่ายังมีอัตราการเติบโตด้านการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าที่ผ่านมาจะผ่านวิกฤติมาบ่อยครั้ง แต่สุดท้ายภูเก็ตก็ยังเป็นเมืองแห่งจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ หรือจะเรียกได้ว่าเป็นเมืองที่ติดอันดับโลกไปแล้ว

โดยที่ผ่านมาอาณาฯได้พัฒนาโครงการมาแล้วรวม 6 โครงการ รวมมูลค่าโครงการเกือบ 3,000 ล้านบาท โดยเฉพาะย่านเชิงทะเล ซึ่งแบ่งเป็นคอนโดฯ 4 โครงการภายใต้แบรนด์“สเคป” 2 โครงการ ในย่านเชิงทะเลและลากูน่า  ราคา 1.2 ล้านบาท และราคา 1.95 ล้านบาทนอกจากนี้ยังมีแบรนด์ “สเปซ” อีก 2 โครงการ ราคาเร่ิมต้นที่ 1.95 ล้านบาท ส่วนอีก 2 โครงการ จะเป็นอาคารพาณิชย์ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี

โดยในปี 2566 ได้เปิดตัวโครงการ “สเปซ เชิงทะเล” (SPACE CHERNGTALAY) ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของคอนโดมิเนียม สูง 8 ชั้น จำนวน 1 อาคาร  ถือว่าเป็นโครงการที่ 6 ของบริษัทที่พัฒนาในจ.ภูเก็ต และเป็นโครงการที่ 3 ในพื้นที่ย่านเชิงทะเล พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นที่ 25-66.75 ตารางเมตร ราคาเร่ิมต้นที่ 1.99-6.5 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย 90,000 บาทต่อตารางเมตร มูลค่าโครงการประมาณ 550 ล้านบาท โดยได้เปิดขายไปเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2566 และสามารถปิดการขายได้ภายในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2566 ลูกค้าที่ซื้อส่วนใหญ่เป็นคนไทย สัดส่วน 70% (เป็นการซื้อเพื่อลงทุนประมาณ 50%) และลูกค้าชาวต่างชาติประมาณ 30% โดยเป็นชาวรัสเกือบทั้งหมด ด้านการก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส1/2567 และแล้วเสร็จในไตรมาส 2/2568

สำหรับแผนการการดำเนินงานของบริษัทฯก็ยังคงรุกการพัฒนาโครงการอสังหาฯเพื่อการขายและที่สร้างรายได้ในระยะยาว อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตั้งเป้า 2 ปี พัฒนา 1 โครงการ มูลค่าประมาณ500 ล้านบาท โดยในปี 2567 มีแผนที่จะขยายเซกเมนต์ และฐานลูกค้าใหม่ ด้วยการพัฒนาโครงการในรูปแบบของวิลล่าหรู ในย่านเชิงทะเล อีก 1 โครงการ ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 100 ไร่ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 5,000 ล้านบาท แบ่งการพัฒนาออกเป็น 3-4 เฟส เพื่อลดความเสี่ยง โดยในเฟสแรกระดับราคาขายจะอยู่ที่ประมาณ 20-30 ล้านบาทขึ้นไป ขนาดตั้งแต่ 200 ตารางวาขึ้นไป เจาะกลุ่มเป้าหมายชาวต่างชาติ โดยเป็นการเช่าระยะยาว 30 ปี บวก 30 ปี ซึ่งมีแผนจะเปิดตัวในปลายปี 2567

นี่คือแผนการลงทุนส่วนหนึ่งของทั้งอสังหาฯรายใหญ่และรายเล็ก เท่านั้น ซึ่งแต่ละโครงการมูลค่ามากกว่า 500 ล้านบาท แล้วแต่ขนาดของโครงการที่พัฒนา ส่งผลราคาที่ดินในภูเก็ต โดยเฉพาะทำเลป่าตอง ที่ติดชายหาดพุ่งทะยานไปถึง 400 ล้านบาท/ไร่ เชื่อว่าในปี 2567 จะมีผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ รายกลาง รายเล็ก เข้าไปลงทุนในภูเก็ตอีกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องจับตาดูว่าจะแข่งขันกันดุเดือดเลือดพล่านเพียงใด

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*