แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดแผนงานปี 2567 ตั้งเป้ายอดขาย 31,000 ล้านบาท และรับรู้รายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ 28,000 ล้านบาท พร้อมลุยเปิดโครงการแนวราบใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวม 30,200 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยต่อยูนิตอยู่ที่ 9.4 ล้านบาท ส่งผลให้มีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาและเปิดขายในพอร์ต 84 โครงการ มูลค่า 98,550 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 77 โครงการ มูลค่า 82,550 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท

นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร บริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขาย (Bookings) ในปี 2567 ไว้ที่ 31,000 ล้านบาท และรับรู้รายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ 28,000 ล้านบาท ส่วนรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 8,540 ล้านบาท โดยมีแผนเปิดโครงการใหม่จำนวน 11 โครงการ มูลค่ารวม 30,200 ล้านบาท ลดลง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่เปิดตัวโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 43,460 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีคอนโดมิเนียม 1โครงการ คือ โครงการวันเวลา ณ เจ้าพระยา ซึ่งมีมูลค่าโครงการสูงถึง 15,000 ล้านบาท โดยเปิดตัวแทนโครงการ The Key ศรีนครินทร์ มีมูลค่า 6,500 ล้านบาท

ขณะที่โครงการใหม่ที่เปิดตัวในปีนี้เป็นโครงการแนวราบทั้งหมดและเป็นโครงการบ้านเดี่ยวทั้งหมด ยกเว้นโครงการ Villaggio ลำลูกกา-วงแหวน 1 โครงการ ที่มีทั้งสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ โดยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 10 โครงการ และในต่างจังหวัด 1 โครงการ ราคาขายเฉลี่ยต่อยูนิตอยู่ที่ 9.4 ล้านบาท ช่วงครึ่งปีแรกจะเปิดตัว 3โครงการ และช่วงครึ่งปีหลังเปิด 8 โครงงการ ในจำนวนนี้จะมีบ้านระดับ Ultra Luxury 2 โครงการ คือ โครงการนันทวัน บางนา กม.15 จำนวน 118 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ย 55.3 ล้านบาท และโครงการนันทวัน Private Pool Villa พระราม 9-กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ จำนวน 30 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ย 96 ล้านบาท

ทั้งนี้ในปี 2567 บริษัทจะมีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาและเปิดขายทั้งหมด 84 โครงการ มูลค่า 98,550 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบ 77 โครงการ มูลค่า 82,550 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นโครงการที่ยกมาเปิดดำเนินการต่อในปี 2567 จำนวน 73 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 68,350 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 66 โครงการ มูลค่า 52,350 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท

“ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2566 ที่ผ่านมา มีจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จและจดทะเบียนโดยผู้ประกอบการในกทม.และปริมณฑล ช่วงเดือนมกราคม – ตุลาคม 2566 มีจำนวน 52,715 ยูนิต ลดลง 17.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในส่วนของตลาดบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดเพิ่มขึ้น 58% ทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 12% แต่คอนโดมิเนียมลดลง มากถึง 48%”

ส่วนอุปทานจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในกทม.และปริมณฑล ช่วงเดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน 2566 มีจำนวน 95,527 ยูนิต ลดลง 7.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยอุปทานที่ลดลงมาจากตลาดทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมที่ลดลง 23% และ 10% ตามลำดับ ส่วนตลาดบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดมีการเปิดขายใหม่เพิ่มขึ้น 17.3% ส่งผลให้สินค้าบ้านเดี่ยวซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัท มีการแข่งขันที่สูงขึ้น จากอุปทานที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาจากปี 2565

นายโชคชัย วลิตวรางค์กูร กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด บริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดคอนโดมิเนียมใน 2566 ที่ผ่านมาบางระดับราคา (segment) ฟื้นตัวต่อเนื่องหลังจากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายลง และคาดว่าจะดีขึ้นต่อเนื่องในปี 2567 โดยเฉพาะความต้องการซื้อสินค้าใน segment ระดับบน และในบางทำเล จึงทำให้บริษัทได้ปรับแผนเปิดตัวคอนโดฯ “วันเวลา ณ เจ้าพระยา เมื่อปลายเดือนตุลาคมแทนโครงการ The Key ศรีนครินทร์ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี โดยทำยอดขายได้แล้วกว่า 5,000 ล้านบาท คิดเป็น 35% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะทำยอดขายได้ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท ทำให้ในปี 2566 บริษัทมียอดขายจากสินค้าคอนโดฯกว่า 6,200 ล้านบาท เติบโต 176% จากปีก่อน คิดเป็น 27% ของยอดขายรวมทั้งหมดของบริษัทที่ทำได้ 30,000 ล้านบาท

ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าคอนฯมในมือพร้อมขายทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 16,000 ล้านบาท โดยไม่มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ และตั้งเป้ายอดขายคอนโดฯในปีนี้ไว้ที่ 5,500 ล้านบาท และยอดโอนที่ 2,000 ล้านบาทจากโครงการเดอะ รูม สุขุมวิท 38 โครงการ The Bangkok ทองหล่อ โครงการเดอะ รูม พญาไท และ The Key เอ็มอาร์ที เพชรเกษม 48 เป็นต้น

นายวิทย์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการสายงานสนับสนุน บริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทมีการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าผ่านบริษัท LHMH และ LH USAจำนวน 2,870 ล้านบาท ประกอบด้วย โรงแรม Grande Centre Point Surawong มูลค่า 920 ล้านบาท โครงการ Grande Centre Point Lumpini 870 ล้านบาท ธุรกิจโรงแรมและอพาร์ตเมนต์ 1,080 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัท LHMH ยังมีการลงทุนเพิ่มเติมในทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL) มูลค่ารวม 1,952 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนการลงทุนในกองทรัสต์เพิ่มขึ้นจากเดิม 14.73% เป็น 26.17%

ขณะที่บริษัท LHMH ได้เปิดโครงการใหม่ 1 โครงการ ได้แก่ โรงแรม Grande Centre Point Surawong เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา มูลค่าเงินลงทุน 2,300 ล้านบาท และได้ขายโรงแรม 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรม Grande Centre Point Pattaya และ Grande Centre Point Space Pattaya ให้กับกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL) มูลค่า 9,400 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีการรับรู้กำไรก่อนภาษีประมาณ 2,500 ล้านบาทในไตรมาส 4 และส่วนที่เหลือจะมีการทยอยรับรู้ในงบกำไรขาดทุนระหว่างปี 2567-2575

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*