“แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์” คือหนึ่งในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการอาคารชุดพักอาศัยในเมืองทั้งแบบไฮไรส์และโลว์ไรส์ภายใต้แบรนด์ “คอนโดฯลุมพินี” ในราคา Affordable Price โฟกัสกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ระดับกลางถึงกลาง-ล่าง พร้อมสร้างความแตกต่างด้วยกลยุทธ์ “ชุมชนน่าอยู่”  ที่สามารถสร้างความประทับใจและความผูกพันต่อลูกค้าและผู้อยู่อาศัยในชุมชนลุมพินี

แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานับแต่ช่วงก่อนเกิดโควิด-19 แบรนด์คอนโดฯ ลุมพินี ที่เคยสร้างรายได้ต่อปีมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิมากถึง 2,300 ล้านบาท ไม่ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้ซื้อยุคใหม่ ทำให้รายได้จากการขายโครงการลดลงต่อเนื่อง โดยผลงาน ณ สิ้นปี 2566 แอล.พี.เอ็น. มีรายได้จากการขาย 5,103 ล้านบาทเท่านั้น ลดลงประมาณ 39.4% และมีกำไรสุทธิจำนวน 353 ล้านบาท ลดลง 42%

ขณะเดียวกันในยุคหลัง LPN ได้ขยายฐานลูกค้าหันมาจับตลาดบ้านแนวราบมากขึ้น จนปัจจุบันกลายเป็นธุรกิจหลักของLPN ภายใต้แบรนด์ “168” เพื่อขยายฐานลูกค้าในกลุ่มคนรุ่นใหม่หรือ Gen Y ที่มีอายุประมาณ 25-35 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เริ่มต้นทำงาน (First Jobber) สร้างธุรกิจเอง (Entrepreneur) และกลุ่ม Startups

วันนี้ LPN ภายใต้การบริหารงานของซีอีโอคนใหม่ “อภิชาติ เกษมกุลศิริ” อดีตนักบริหารด้านการเงินมืออาชีพ ที่เข้ามาทำงานกับ LPN  ตั้งแต่ปี 2561 และได้การการตั้งแต่งตั้งให้นั่งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา พร้อมประกาศวิสัยทัศน์ Rebalance ที่ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง “ซ่อม-สร้าง” โดยมีสต๊อกคอนโดฯและบ้านสร้างเสร็จพร้อมขายมูลค่าสูงถึง 10,000 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน 4,000-5,000 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 2 ล้านบาทยูนิต กระจายอยู่ในทำเลต่างๆ ทั้งงกรุงงเทพ ปริมณฑล และต่างจังหวัด  ถือเป็นภารกิจที่ต้องเร่งเคลียร์สต็อกออกไปให้หมดโดยเร็ว

นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในฐานะซีอีโอที่มีหน้าที่ในการมองไปข้างหน้า (Looking Forward) ไปยังธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือจากธุรกิจอสังหาฯที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ เพื่อเฟ้นหาธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามาสร้างผลตอบแทนในระยะกลางและระยะยาวให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้างสมดุลในการเติบโตให้กับธุรกิจ (Rebalance for Sustainable Growth) ในระยะยาว

โดยมีแนวทางในการสร้างความสมดุลใน 3 มิติ เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจ    ไปพร้อมๆ กันในทุกมิติ ได้แก่ Rebalance Portfolio การสร้างความสมดุลในการพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ ทั้งในส่วนของการพัฒนาโครงการ งานบริการ ไปจนถึงงานวิจัยและพัฒนา โดยแนวทางในการทำงานปีแรก คือ การพัฒนาจุดแข็งในฐานะผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” (5C) ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมถึงปรับปรุงและเติมเต็มข้อจำกัดของแอล.พี.เอ็น. เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด

ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสินค้าที่ขายแล้วรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 2,300 ล้านบาท โดยมีแผนที่จะเพิ่มยอดขายโดยใช้กลยุทธ์ด้านราคาด้วยการลดราคาขาย 20-25%มาใช้กระตุ้นกำลังซื้อ เช่น โครงการลุมพินี ซีวิว ชะอำ ซึ่งเป็นอาคารชุดสูง 20 ชั้น 2 อาคาร มีห้องชุดพักอาศัยรวม 989 ยูนิตขนาด 22.50 – 39 ตารางเมตร ปัจจุบันมีห้องชุดเหลือขายประมาณ 500 ยูนิต โดยปีนี้ LPN มีเป้าหมายที่จะขายสินค้าคงเหลือที่มีอยู่ให้ได้ไม่น้อยกว่า 4,500 – 5,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากที่ขายได้ 4,000 ล้านบาทในปี 2566 เพื่อให้ไปถึงเป้ายอดขายปี 2567 ที่ตั้งไว้ที่ 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับยอดขาย 10,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 ที่ผ่านมา

การ Rebalance Resource ด้วยการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาจัดสรร และสร้างมูลค่าให้กับองค์กรด้วยการนำความเชี่ยวชาญของแต่ละส่วนงานมาสนับสนุนการบริหารงานและการจัดการของแอล.พี.เอ็น.ให้สอดคล้องกัน ปัจจุบันแอล.พี.เอ็น.มีบริษัทในเครือที่กำลังเติบโตอยู่หลายบริษัท นอกเหนือจากการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยทั้งอาคารชุดและบ้านจัดสรรแล้ว ยังมีบริษัทในเครือที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และสร้างรายได้ให้กับบริษัท ทั้งบริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) รับงานบริหารจัดการโครงการ บริษัท แอล พี เอส โปรเจค มาเนจเมนท์ จำกัด (LPS)ให้บริการด้านงานวิศวกรรม และบริษัทรักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS) ให้บริการด้านรักษาความปลอดภัย เป็นต้น

Rebalance Stakeholders’ Wealth ภายใต้แนวทางการบริหารในการสร้างความสมดุลทั้งสองมิติแรก เพื่อนำไปสู่การสร้างสมดุลในการให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกส่วน ทั้งนักลงทุน ผู้ถือหุ้น พนักงาน และพันธมิตรทางธุรกิจ ให้ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม โดยวางแผนนำบริษัทในเครือ คือ แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอภายในปีนี้ ปัจจุบันได้เข้าบริหารจัดการชุมชนกว่า 260 โครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัด ครอบคลุมประชากรมากกว่า 300,000 คน ในปี 2566 ที่ผ่านมา แอล พี พี มีรายได้ประมาณ 1,560 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 139 ล้านบาท

สำหรับแผนการลงทุนในปี 2567 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่า 6,520 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดฯ 1 โครงการ มูลค่า 980 ล้านบาท ใช้ชื่อโครงการรว่า Place 168 วุฒฑากาศ เป็นอาคารไฮไรส์ราคาขาย 85,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไป และโครงการบ้านแนวราบ 5 โครงการ มูลค่า 5,540 ล้านบาท ประกอบด้วย Venue 24 นครปฐม มูลค่า 610 ล้านบาท โครงการ Residence 168 สุขุมวิท 77 บ้านเดี่ยว 3ชั้นนราคาขาย 20 ล้านบาทชึ้นไป มูลค่า 1,230 ล้านบาท

โครงการวิลลา 158 กรุงเทพกรีฑา  ตั้งงอยู่ในซอยพัฒนาชนบท 4 ราคาขายเริ่มต้น 10 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,370 ล้านบาท  โครงการ Residence 168 เจษฎา-ราชพฤกษ์ มูลค่าโครงการ 1,730 ล้านบาท โครงการ Venue 24 ราชพฤกษ์ มูลค่า 600 ล้านบาท

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*