โบทานิก้า ลักซูรี่ วิลล่า ทุบสถิติยอดขายวิลล่าหรูในเกาะภูเก็ตด้วยยอดขาย 1,200 ล้านบาทเฉพาะเดือนมกราคม เผยทุกโครงการนำเสนอดีไซน์-ฟังก์ชันตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยจริงในทุกมิติ พัฒนาจากความเข้าใจไลฟ์สไตล์หลากหลายของกลุ่มเป้าหมาย

นายอรรถสิทธิ์ อินทรชูติ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต จำกัด เปิดเผยว่า ดีมานด์วิลล่าลักชัวรีบนเกาะภูเก็ตพุ่งต่อเนื่องทั้งชาวไทยและต่างชาติที่มองหาที่อยู่อาศัยใหม่และบ้านหลังที่สองในภูเก็ตมากขึ้น ส่งผลให้ราคาที่ดินปรับขึ้นทุกปี ส่งผลให้ยอดขายเติบโตต่อเนื่องทุกปีหลังสถานการณ์โควิด-19 โดยในปี 2565 ทำยอดขายได้สูงถึง 5,500 ล้านบาท ส่วนปี 2566 ทำยอดขายได้ 6,600 ล้านบาท

ดังนั้นในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายมากกว่า 350 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 10,000 ล้านบาท เติบโตกว่า 50% ตามการประเมินแนวโน้มสภาพตลาดและดีมานด์ของตลารดพูลวิลล่าในภูเก็ต โดยในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาทำยอดขายได้สูงถึง 1,200 ล้านบาท  ส่วนโครงการที่ทำยอดขายได้มากสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ Botanica Grand Avenue, Botanica Four Seasons และ Botanica Foresta โดยยอดขายมาจากลูกค้าต่างชาติและคนไทย

โดยโบทานิก้า ลักซูรี่ วิลล่า ถือเป็นผู้นำด้านการพัฒนาโครงการพูลวิลล่าระดับลักชัวรีในจังหวัดภูเก็ตมากว่า 20 ปี  ปัจจุบันพัฒนามาแล้วกว่า 27 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 52,000 ล้านบาท แต่ละโครงการที่พัฒนามีความโดดเด่นทั้งการออกแบบและดีไซน์ พร้อมการจัดแลนด์สเคปที่ดีไซน์โดดเด่นของตัวบ้านที่เน้นความสงบเป็นส่วนตัว โดยทุกโครงการที่พัฒนาขึ้นล้วนตั้งอยู่ในพื้นที่ไพรม์โลเคชั่น แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่สอดรับกับทุกความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง

“ภาพรวมตลาดวิลล่าลักชัวรียังมีทิศทางการเติบโตที่ดีในปีนี้ เพราะเมืองภูเก็ตยังคงเป็นหนึ่งใน Top 5 เมืองที่ชาวต่างชาตินิยมมาเที่ยวและอยู่อาศัย ด้วยความงดงามของธรรมชาติและความพร้อมด้านสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐาน ในฐานะดีเวลอปเปอร์ คาดว่าจะมีผู้เล่นในตลาดนี้มากขึ้นตามดีมานด์ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ด้วยจุดแข็งด้านความยูนีคของดีไซน์ คุณภาพโครงการ ความเชี่ยวชาญและความเข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายของโบทานิก้า ลักซูรี่ วิลล่า ทำให้เราเป็นเจ้าตลาดที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในฐานะแบรนด์วิลล่าหรูเบอร์หนึ่งของภูเก็ต”

ทั้งนี้จากข้อมูลของคอลลิเออร์ส ประเทศไทย ระบุว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเกาะภูเก็ตยังคงคึกคักอย่างต่อเนื่องในปี 2567 ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่มากมายเพื่อตอบรับดีมานด์ที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะทำเลยอดนิยมย่านบางเทา เชิงทะเล พื้นที่โดยรอบลากูน่า และหาดกมลา ขณะที่ตลาดอสังหาฯ ในภูเก็ตยังให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ค่อนข้างสูง และราคาที่ดินในพื้นที่เกาะภูเก็ตมีการปรับตัวสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะที่ดินที่ใกล้ทะเลหรือติดชายหาด พบว่ามีราคาเสนอขายที่สูงกว่า 100 ล้านบาทต่อไร่ โดยพบว่าในปี 2566 โครงการบ้านพักตากอากาศหลายโครงการสามารถปิดยอดการขายได้มากกว่า 80% หลังจากการเปิดขายโครงการได้ไม่นาน โดยผู้ซื้อมีทั้งแบบซื้อเพื่อการลงทุนและการอยู่อาศัย

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*