จากกรณีที่มีการกวาดล้างกลุ่มทุนจีนสีเทาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่นับวันจะยิ่งตกใจกับข้อมูลที่ได้รับรู้ข้อมูล โดยมีการยึดทรัพย์สินเฉพาะของนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ “ตู้ห่าว” หรือ “หาวเจ๋อ ตู้” แล้วกว่า 5,000 ล้านบาท  และพบว่าหนึ่งในจำนวนสินทรัพย์ที่กลุ่มทุนจีนสีเทาใช้ในการแปลงทรัพย์สิน หรือการฟอกเงินนั้น คือการซื้อบ้านและคอนโดฯหรู ระดับลักชัวรี่ และซูเปอร์ลักชัวรี่ กระจายทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯปริมณฑล และหัวเมืองท่องเที่ยว ที่ชาวจีนชอบท่องเที่ยวอยู่อาศัย อีกทั้งกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายราย โดยเฉพาะที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่างมุ่งทำการตลาดเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าชาวจีนเป็นอันดับหนึ่งแทบทั้งสิ้น  โดยรูปแบบการซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้น กลุ่มทุนจีนสีเทามักมีพฤติกรรมคล้ายกันคือ การนำเงินสดมากว้านซื้อหมู่บ้านหรูในลักษณะเหมาเฟส หรือเกือบหมดโครงการ หรือหากเป็นคอนโดมิเนียมหรูจะเหมายกชั้น อย่างเช่นคอนโดฯหรูระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ย่านเจริญนคร ติดห้างสรรพสินค้าใหญ่ ซึ่งจะซื้อขายผ่านนายหน้าหรือตัวแทนเท่านั้น ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยว่าการซื้อบ้านหรูในย่านปริมณฑล ที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจค้นพบ จะอยู่ทำเลย่านแบริ่ง,ลาซาล,บางนาวงแหวน รวมไปถึงทำเลใกล้มหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือเป็นเพราะสะดวกในการเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ และการเลือกซื้อเฉพาะโครงการหรู เป็นเพราะมีความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัย เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาค้น ก็สามารถหลบหนีได้ทันท่วงที หรือ สามารถขายต่อคนจีนด้วยกันในราคาและกำไรดี เหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่ยังคาใจหลายๆคน
นายสุรเชษฐ กองชีพ
ซึ่งทาง prop2morrow ได้สัมภาษณ์ นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด  ซึ่งมีประสบการณ์คร่ำหวอดในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาฯมาช้านาน และทำงานร่วมกับกลุ่มทุนจีนมาระยะหนึ่ง เปิดเผยว่า การเข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม บ้าน หรือที่ดินในประเทศไทยของชาวต่างชาติ เป็นเรื่องที่พบเห็นได้มากมายมานานกว่า 20 ปีแล้ว เพียงแต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เรื่องของการที่มีชาวต่างชาติเข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยมากขึ้นแบบชัดเจน แต่ถ้าดูจากสถิติแล้วชาวต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมในแต่ละปีไม่เกิน 10% ของจำนวนคอนโดมิเนียมที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในประเทศไทย สิ่งที่น่ากังวลคือเรื่องของการเข้ามาถือครองที่ดิน หรือบ้านในประเทศไทยผ่านช่องทางที่อาจจะไม่ชัดเจน และกฎหมายไม่สามารถเอาผิดอะไรได้ ซึ่งเรื่องแบบนี้สามารถตรวจสอบได้ยากและเสียเวลารวมไปถึงบุคลากรจำนวนมาก

ทั้งนี้การถือครองคอนโดมิเนียมอาจจะดูไม่ใช่เรื่องแปลก  เพราะมีระบุในกฎหมายอยู่แล้วว่าชาวต่างชาติสามารถโอนกรรมสิทธิ์ในชื่อของพวกเขาได้ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่กรมที่ดินกำหนดให้ถูกต้องเท่านั้น ซึ่งการถือครองที่ดิน บ้าน หรืออสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ที่ไม่ใช่คอนโดมิเนียม เป็นสิ่งที่ชาวต่างชาติไม่สามารถทำได้ เพราะเป็นข้อห้ามในกฎหมายชัดเจน ยกเว้นว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เท่านั้น ชาวต่างชาติทั่วไป หรือชาวต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยไม่สามารถถือครองที่ดินหรือบ้านได้ แม้ว่าจะมีช่องทางให้พวกเขาสามารถถือครองที่ดินหรือบ้าน รวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ที่ไม่ใช่คอนโดมิเนียม

ซึ่งช่องทางอื่นๆนั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมายแบบ 100% แต่ก็ไม่ผิดกฎหมายแบบ 100% เช่นกัน เพราะชาวต่างชาติบางส่วนถือครองอสังหาริมทรัพย์ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดชัดเจน เพียงแต่ถือครองผ่านคนไทยทั้งในรูปแบบนอมินี และการแต่งงานจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย หรือการจัดตั้งบริษัทไทยที่มีชาวต่างชาติเป็นผู้มีอำนาจลงนามเอกสารหรือตัดสินใจ ซึ่งช่องทางการถือครองอสังหาริมทรัพย์ผ่านนิติบุคคลได้รับความนิยม และเป็นที่สนใจของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีธุรกิจหรือกิจการในประเทศไทย

โดยหากพิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว พบว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนจีนเข้ามาทำธุรกิจหรือมีกิจการในประเทศไทยมากขึ้น ทำให้มีคนจีนที่เข้ามาทำงานโดยการขอใบอนุญาตทำงานมากขึ้นชัดเจน และไม่แปลกที่จะเห็นข่าวการเข้าซื้อบ้าน คอนโดมิเนียมหรืออาจจะมีที่ดินของคนจีนในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งยังรวมไปถึงกลุ่มของคนจีนที่เข้ามาทำธุรกิจที่ไม่โปร่งใส ไม่ชัดเจนหรือกลุ่มธุรกิจสีเทาในประเทศไทยอย่างที่ได้มีการนำเสนอข่าวอยู่ทุกวันนี้ อีกทั้งมีการเข้ามาซื้อบ้านอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม รวมกันเป็นชุมชนผ่านช่องทางตามกฎหมาย   โดยโครงการราคาสูง จะเป็นที่สนใจของคนกลุ่มนี้ เพราะเงินไม่ใช่ปัญหาในการซื้อ และต้องการใช้เงินจำนวนมากออกไปโดยเร็วอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตามแม้ว่าผู้ประกอบการอาจจะไม่ต้องการให้โครงการมีปัญหา หรือมีชื่อเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน หรือช่องทางโซเชียลต่างๆ แต่การตรวจสอบว่าชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อนั้น ดำเนินธุรกิจอะไร หรือถือครองอสังหาริมทรัพย์ผ่านช่องทางใด ผู้ประกอบการคงดำเนินการด้วยตัวเองลำบาก เพราะเมื่อตรวจสอบเอกสารหรือเอกสารทางการเงิน และการจดทะเบียนนิติบุคคลต่างๆ ล้วนดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายประเทศไทย รวมไปถึงเอกสารจดทะเบียนสมรส หรือเอกสารราชการใดๆก็ตามล้วนถูกต้อง แม้กระทั่งเอกสารการโอนเงินจากต่างประเทศ ก็เป็นไปตามที่กรมที่ดินระบุเช่นกัน ซึ่งเมื่อเอกสารและกระบวนการต่างๆ ถูกต้องครบถ้วน ผู้ประกอบการจำเป็นต้องยินยอมขายและปฏิบัติตามเงื่อนไขการซื้อขายต่างๆให้ถูกต้อง และเมื่อจบกระบวนการขายอสังหาริมทรัพย์ไปแล้วก็เท่ากับว่าจบกระบวนการของผู้ประกอบการแล้ว ผู้ประกอบการเองก็คงไม่สามารถตรวจสอบลงไปในข้อมูลเชิงลึกของผู้ซื้อได้ จึงไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าผู้ประกอบการร่วมรู้เห็นเป็นใจกับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในธุรกิจสีเทา

โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีกลุ่มของคนจีนที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้น ประกอบการการที่รัฐบาลประเทศจีนเข้มงวด และตรวจสอบธุรกิจในประเทศจำนวนมาก ซึ่งกดดันให้หลายกลุ่มธุรกิจจำเป็นต้องโยกย้ายออกนอกประเทศจีนก่อนที่จะมีปัญหา แน่นอนว่ามีกลุ่มธุรกิจสีเทาหรืออาจจะสีดำเลยเข้ามาในประเทศไทย ในรูปแบบของลงทุนในธุรกิจต่างๆ ผ่านการจัดตั้งนิติบุคคลแบบถูกกฎหมายในประเทศไทย แล้วถือครองอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ที่ไม่ใช่คอนโดมิเนียมผ่านนิติบุคคล ซึ่งเรื่องเหล่านี้ตรวจสอบได้ยาก รวมไปถึงการตรวจสอบถึงธุรกิจที่พวกเขาทำก็ยากเช่นกัน แต่การดำเนินธุรกิจของพวกเขาอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย ก่อนหน้านี้อาจจะมีเรื่องของทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่ถูกปราบปรามไป ภายหลังอาจจะเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คาสิโนออนไลน์ ผ่านเครือข่ายในประเทศเพื่อนบ้านของไทย ซึ่งแน่นอนว่ารายได้จากธุรกิจพวกนี้ค่อนข้างมาก และเงินเหล่านี้จำเป็นต้องมีการใช้ออกหรือแปรเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์อื่นๆโดยเร็ว ซึ่งการนำมาซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นช่องทางที่รวดเร็วและง่ายที่สุด อาจจะมีการจัดตั้งนิติบุคคลในประเทศไทย แต่แทบไม่มีกิจกรรมหรือการดำเนินธุรกิจเลยในแต่ละปี

ขณะเดียวกันกลุ่มของชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์มีทั้งกลุ่มที่ต้องการซื้อจริงๆ และเป็นกลุ่มที่ทำธุรกิจทั่วไป ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องสีเทา หรือสีดำเลย อาจะมีชางต่างชาติเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาหรือสีดำ และเข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์ผ่านช่องทางต่างๆ โดยอาศัยเครือข่ายหรือการใช้เงิน รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงหรือปฏิบัติตามกฎหมายไทยแบบ 100% เพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหา จนถูกตรวจสอบ เพราะหากมีปัญหาเกิดขึ้นก็อาจจะมีเหตุการณ์แบบที่เป็นข่าวขึ้นมา ที่ถูกไล่ตรวจสอบทีละจุดในทันที ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็คงยากที่จะดำเนินธุรกิจหรืออยู่อย่างสบายในประเทศไทยได้

ทั้งนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อาจจะเลี่ยงที่จะรับลูกค้าที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือต่างชาติได้ยาก เนื่องจากอสังหาริมทรัพย์เป็นเป้าหมายสำคัญในการใช้เงินของกลุ่มนี้ ผู้ประกอบการอาจจะมีการขายบ้าน ที่ดินให้กับคนในกลุ่มนี้ เพราะไม่อาจตรวจสอบรายละเอียดต่างๆได้หมด รวมไปถึงเรื่องของรายได้จากการขายอสังหาริทรัพย์ก็เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการต้องการ ซึ่งก็คงต้องอ้างอิงตามเอกสารที่มีการรับรองจากหน่วยงานราชการ และสถาบันการเงินมาเป็นหลักประกันเท่านั้น

ด้านแหล่งข่าวในวงการอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ชาวจีนมีทั้งคนดีและกลุ่มที่ดำเนินธุรกิจสีเทา-สีดำ ซึ่งไม่สามารถเหมารวมทั้งหมดได้ แต่กลุ่มนายตู้ห่าวนั้น มีความนิยมชอบซื้ออสังหาฯในประเทศไทย โดยเฉพาะบ้านหรูบริเวณสุขุมวิท ขนาด 100 ตารางวาขึ้นไป  และยังต้องการคอนโดฯที่อยู่ในเมือง หรือ ติดริมแม่น้ำ เช่น บริเวณเจริญนคร  สุขุมวิท 39  โดยจะอยู่อาศัยกันเป็นกลุ่ม  เมื่อซื้อที่อยู่อาศัยจะไม่นิยมต่อราคา และยินดีจ่ายเงินสด ต่างจากคนจีนที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง จะมีการต่อรองราคาเก่ง อย่างน้อยร้อยละ 20-30 เป็นต้น

คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า หลังจากนี้ไปผู้ประกอบการอสังหาฯไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นสินค้าระดับลักชัวรี่ และซูเปอร์ลักชัวรี่ จะอ้าแขนรับกลุ่มทุนจีนมาซื้อที่ดินและที่อยู่อาศัยต่อไปอีกหรือไม่ หรือมีวิธีแก้ไขอย่างไร เพื่อที่จะไม่ให้เกิดปัญหา สร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงให้กับโครงการและบริษัทผู้พัฒนาโครงการ หรือจะทำเป็น “เอาหูไปนา เอาตาไปไร่”เพื่อปิดการขายแต่ละโครงการให้ได้มากและเร็วที่สุดเท่านั้น

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*