“บิซิเนสโมเดลของกลุ่มเสนาดีเวลลอปเมนท์ คือการขายบ้าน ขายคอนโดฯเป็นหลัก ทำให้ต้องมีการใช้เงินลงทุนตลอดเวลา ขณะที่โลกในยุค VUCA Crisis มีความผันผวนและซับซ้อนตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิดเมื่อช่วงปี 2563-2565 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้กลุ่มเสนาฯเริ่มมีการปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจครั้งใหม่ โดยให้ความสำคัญกับ Focus in Capital Allocation เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและทำให้บริษัทมีความเข้มแข็งมากขึ้น รวมทั้งให้บริษัทสามารถอยู่รอดได้หากเกิดวิฤติครั้งใหม่ในอนาคต”

ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาในวงการธุรกิจ บริษัท ห้างร้าน และส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องล้วนประสบปัญหาจากวิกฤติที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด จนทำให้บางบริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายหรือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของบริษัท ขณะเดียวกันยุคนี้ยังเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี การแข่งขัน สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ เศรษฐกิจ สังคม ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้รู้จักกันในนาม VUCA World ที่ทำให้องค์กร หรือผู้ประกอบการต่างๆ ต้องปรับตัวตามกันให้ทัน และที่สำคัญก็คือต้องไปในทิศทางที่เหมาะสม

โดยบริษัทให้ความสำคัญในเรื่องของ Partnership, การบริหารการเงิน และการบริหารจัดการพอร์ทโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพ      จะเห็นได้จากการเข้าซื้อบริษัทเจ.เอส.พี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน)หรือ JSP เพื่อขยายพอร์ตตลาดบ้านแนวราบให้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงความร่วมมือกับบริษัทฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป (HHP) ในการร่วมลงทุนในโครงการใหม่ๆในช่วงที่ผ่านมา

ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่า Asset สูงถึงกว่า 50,000 ล้าน หรือเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 43% ขณะเดียวกันอัตราหนี้สินต่อทุนของบริษัทหรือ Net IBD/E Ratio ยังอยู่ในระดับต่ำ ล่าสุดอยู่ที่ 1.13 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตของธุรกิจบนพื้นฐานทางการเงินที่ดี

ขณะเดียวกันบริษัทได้มีการขยายพอร์ตโครงการแนวราบเพิ่มขึ้นเพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้ครอบคลุมทุก Segment สอดคล้องกับสภาวะตลาด จากเดิมที่พอร์ตการลงทุนหลัก 90%จะเป็นสินค้าคอนโดมิเนียม แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ 67% ที่เหลืออีก 33%เป็นสินค้าบ้านแนวราบ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งในด้านทำเล ราคา ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป และเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด

ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าสินค้าพร้อมพัฒนาและรอรับการรู้รายได้อยู่ในพอร์ตสูงกว่า 82,751 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 27,089 ล้านบาท ที่เหลือเป็นสินค้าคอนโดฯ แบ่งเป็นแบรนด์เดอะนิช  27,347 ล้านบาท  เดอะคิทท์ 11,880 บาท และแบรนด์เฟล็กซี่อีก 19,648 ล้านบาท เป็นต้น โดยพัฒนาในรูปแบบร่วมทุน 72% ผ่านบริษัทเซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ Sen X อีก 13% และโครงการที่พัฒนาโดยกลุ่มเสนาฯเองอีก 15% นอกจากนั้นยังมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจบริการอื่นซึ่งเป็นรายได้ประจำที่ช่วยสร้างกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่องด้วย

ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2566 ที่ผ่านมา มียอดขายรวม 13,000 ล้านบาท ส่วยช่วง 9 เดือนแรกมีรายได้จากการขายบ้านและคอนโดฯ 6,545 ล้านบาท ธุรกิจบริการและให้เช่า 1,165 ล้านบาท ธุรกิจโซลาร์ 430 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจใน 2 ส่วนหลัก คือ รายได้จากโครงการที่พักอาศัย และรายได้จากธุรกิจบริการและธุรกิจเช่าในสัดส่วน 80:20

ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน อายุหุ้นกู้ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 26-30 มกราคม 2567นี้ ผ่านธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)  ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โดยจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*